SSI แจงปี 55 ขาดทุนจากความล่าช้าของโรงถลุงเหล็ก-ต้นทุนสูง มองตลาดเริ่มกลับสู่ขาขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 1, 2013 18:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) กล่าวว่า ปี 2555 เป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก สืบเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลก บริษัทเหล็กและเหมืองแร่ทั่วโลกต่างประสบภาวะขาดทุนกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ไม่ดีสำหรับการเริ่มต้นการผลิตโรงถลุงของเรา บริษัทฯประสบภาวะขาดทุนหนักจากค่าใช้จ่ายก่อนเริ่มผลิต ผลผลิตต่ำในช่วงเริ่มผลิต และขาดทุนราคาเหล็ก

แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนได้สูงมาก โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง และสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้มาก การผลิตที่โรงงานทีไซด์และโรงงานบางสะพานแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ และเราเริ่มเห็นผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงธุรกิจแนวดิ่งแล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 1 ปี 2555 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 60,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 47,975 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26 และมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 15,903 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 981 ล้านบาทในปี 2554

สาเหตุที่การดำเนินงานของบริษัทมีผลขาดทุน เนื่องจากความล่าช้าของการเริ่มดำเนินการผลิตของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ต้นทุนการผลิตของโรงถลุงเหล็กยังสูงเนื่องจากการผลิตยังไม่ถึงระดับที่เหมาะสม การลดลงของราคาเหล็กในตลาดโลกทำให้ขาดทุนจากมูลค่าสินค้าลดลง และ การตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาซื้อวัตถุดิบ แต่ท่ามกลางตลาดที่ท้าทายนี้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด สร้างยอดขายได้สูงกว่าปี 2554 ถึงร้อยละ 26 เนื่องจากเริ่มได้รับผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงกับธุรกิจต้นน้ำ หรือ โรงงานเอสเอสไอ ทีไซด์

นายวิน กล่าวต่อว่า หลังจากปลายปีที่ผ่านมา ตลาดเหล็กปัจจุบันกลับมาเป็นขาขึ้นหลังจากซบเซามานาน 6 เดือน ภาวะปัจจัยภายนอกดี - ความต้องการใช้เหล็กในประเทศสูง อุตสาหกรรมเหล็กมีมาร์จิ้นดีขึ้นปีนี้ ในขณะที่เรามีปัจจัยภายใน 3 รายการใหญ่ๆที่จะขับเคลื่อนบริษัทฯไปในทางบวกในปีนี้ 1) สเกลธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น จากการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นที่โรงงานทั้ง 2 โรง 2) ต้นทุนการผลิตเหล็กแท่งที่จะลดลง หลังโครงการ PCI เริ่มใช้งานในไตรมาส 2 3) มาร์จิ้นสูงขึ้น จากสัดส่วนสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าการบริโภคเหล็กในปี 2556 จะปรับตัวสูงขึ้นจากความชัดเจนของมาตรการแก้ไขการคลี่คลายปัญหาเศรษฐกิจโลก สถาบันเหล็กโลก (World Steel Association: WSA) ได้ประเมินว่า ในปี 2556 ความต้องการเหล็กของโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.2 หรือเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1,455 ล้านตัน โดยจีนจะยังคงเป็นผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลก โดยภูมิภาคอาเซียนนั้น คาดการณ์อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้เหล็กร้อยละ 3.3 หรือเพิ่มขึ้นเป็น 56.5 ล้านตัน

ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศนั้น สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (ISIT) คาดการณ์ว่าความต้องการเหล็กในประเทศในปี 2556 จะขยายตัวในอัตรา ร้อยละ 7.2 หรือมีความต้องการประมาณ 17.5 ล้านตัน โดยความต้องการของเหล็กทรงแบนที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มขึ้น จากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่ยังมีรถยนต์ค้างส่งมอบ และในส่วนของเหล็กสำหรับการก่อสร้าง คาดว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการก่อสร้างจะมีการขยายตัวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ