ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร SAMTEL ที่ระดับ “BBB+"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 9, 2014 13:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร บมจ.สามารถเทลคอม(SAMTEL) ที่ระดับ “BBB+"สะท้อนถึงสถานะการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้านเครือข่ายสื่อสารและการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการรับงานโครงการภาครัฐ รวมทั้งการมีสัดส่วนรายได้ที่สม่ำเสมอในระดับปานกลางจากสัญญาให้บริการ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง และความผันผวนของธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลให้โครงการภาครัฐหลายโครงการล่าช้าออกไป

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันประมูลงานโครงการภาครัฐและดำเนินนโยบายทางการเงินที่รอบคอบด้วยการควบคุมให้มีสภาพคล่องที่เหมาะสมเมื่อรับงานโครงการขนาดใหญ่ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่ควรสูงกว่า 60% เป็นระยะเวลาต่อเนื่องเพื่อคงคุณภาพเครดิตเอาไว้

SAMTEL ก่อตั้งในปี 2529 โดยกลุ่มตระกูลวิไลลักษณ์ บริษัทดำเนินธุรกิจติดตั้งโครงข่ายสื่อสารและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร รวมทั้งให้บริการด้านโครงข่ายและระบบสื่อสาร ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2556 บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น(SAMART) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 71% โดย SAMART เป็นบริษัทที่ลงทุนในกิจการสื่อสารโทรคมนาคมและโครงข่าย รวมทั้งให้บริการด้านวิศวกรรม

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ครบวงจร บริษัทมีผลงานเป็นที่ยอมรับในโครงการที่หลากหลาย โดยสะท้อนจากความสำเร็จในการประมูลงานที่มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจยังสะท้อนถึงรายได้ที่สม่ำเสมอจากสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษา โดยปกติสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษามีระยะเวลา 3-5 ปี แต่ส่วนใหญ่จะมีการต่อสัญญาออกไป ในปี 2556 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนของรายได้จากสัญญาให้บริการที่ 36%

ความเสี่ยงของบริษัทมาจากผลประกอบการที่ผันผวนจากธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบที่มีขนาดมูลค่าโครงการแตกต่างกัน ปัญหาของการตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมาส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2558 และทำให้โครงการภาครัฐหลายโครงการล่าช้าออกไป หรือถูกแบ่งให้เป็นโครงการขนาดย่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะส่งผลต่อบริษัทไม่มาก ทั้งนี้ เนื่องจาก ณ สิ้นปี 2556 มูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัท (Backlog) อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท โดยมูลค่างานประมาณ 3.9 พันล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2557 และที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่จะทยอยรับรู้ในปี 2558-2559

นอกจากนี้ สัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่กำลังจะหมดอายุก็คาดว่าจะได้รับการต่อสัญญาต่อไป ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทต่อปีในปี 2558 และ 2559 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ภายใต้ประมาณการพื้นฐานอยู่ที่ 7.2 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยประมาณการนี้ได้พิจารณาถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจส่งผลให้โครงการของภาครัฐหลายโครงการล่าช้าออกไป

บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) สูงกว่า 22% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของสัญญาให้บริการสื่อสารและซ่อมบำรุงรักษาที่มีอัตราส่วนกำไรสูง ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 22% ในช่วงระหว่างปี 2557-2559

ณ สิ้นปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 64.9% เปรียบเทียบกับ 70.6% ณ สิ้นปี 2555 โดยมีสาเหตุหลักมาจากความคืบหน้าของโครงการ 3 จีของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และโครงการของ บริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถลดมูลค่าเจ้าหนี้การค้าและรายได้ค้างรับได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2557 หลังจากเสร็จสิ้นโครงการ 3 จีของบริษัททีโอทีและระยะเวลาการชำระเงินของโครงการของบริษัทพอร์ทัลเน็ทปรับตัวดีขึ้น คาดว่าบริษัทจะดำรงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่เกิน 60% ในช่วงระหว่างปี 2557-2559 และดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนเงินกู้มีหลักประกันต่อสินทรัพย์ที่ 35% ณ สิ้นปี 2556 ในกรณีที่บริษัทออกตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ไม่มีประกัน อันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวมีโอกาสที่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท 1 ขั้น

บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่ยอมรับได้ โดยคาดหมายว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 1.1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2557-2559 และ ณ สิ้นปี 2556 บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อยู่อีกประมาณ 4 พันล้านบาท ดังนั้น คาดว่าบริษัทจะสามารถชำระหนี้บางส่วนที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 25% ในช่วงระหว่างปี 2557-2559


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ