กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร China Construction Bank เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% (สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (Asia) (สาธารณรัฐประชาชนจีน, ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 10% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Bank of East Asia (สาธารณรัฐประชาชนจีน, ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 10% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Agricultural Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 10% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% และตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10%
ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.95% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
นายฉัตรพี กล่าวว่า ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงสู่ขยายตัวร้อยละ 3.6 จากคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ร้อยละ 3.7 หลังผลผลิตของยุโรปและญี่ปุ่นอ่อนแอลง ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมนีขยายตัวดีขึ้น จะเป็นแรงกระตุ้นสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ สำหรับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯปรับลดลงร้อยละ0.02–0.10 ในส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงร้อยละ 0.01–0.08 และเส้นอัตราผลตอบแทนมีลักษณะแบนราบลง เนื่องจากมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติและปริมาณพันธบัตรที่ออกจำหน่ายมีน้อย