(เพิ่มเติม) "เกษตรไทย อินเตอร์ฯ"เคาะราคา IPO ที่ 10 บ.เสนอขาย 21-23 เม.ย.เทรด 28 เม.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 18, 2014 15:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคมกฤต มีคำสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดทุน บล.เคที ซีมีโก้ ผู้นำในการจัดจำหน่ายแรบประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น(KTIS) เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเปิดจองหุ้นที่ 10.00 บาท/หุ้น โดยจะเริ่มเปิดจองในวันที่ 21-23 เม.ย.นี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 28 เม.ย.57

บริษัทจะกระจายหุ้นจำนวนทั้งสิ้น 957,827,000 หุ้น คิดเป็น 24.6% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท ปัจุบันมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 3,888,000,000 บาท เมื่อเสนอขายหุ้นแล้วจะกลายเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,274,573,000 บาท ราคาพาร์อยู่ที่ 1 บาท คาดว่าการระดมทุนครั้งนี้จะได้เงินจำนวนกว่า 9 พันล้านบาท เพื่อนำมาใช้ขยายกำลังการผลิตโรงงานน้ำตาล ลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ 50 ล้านบาท ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย 2 แห่ง แห่งละ 960 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้บริษัทฯ และโครงการผลิตนำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ จำนวน 980 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

"เราตั้งราคา IPO อยู่ที่ 10 บาท เราก็มีการคำนวนราคาจาก P/E อยู่ที่ 13-14 เท่า ส่วนการเข้าซื้อขายวันแรกราคาจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ต้องรอดู Sentiment ของตลาดด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ดูราคา IPO เท่านั้น"นายคมกฤต กล่าว

ด้านนายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นในครั้งนี้บริษัทฯมีแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน คือ บล.เคที ซีมีโก้ ขณะที่มีบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย และบล.เออีซี เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายในครั้งนี้

นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน KTIS คาดว่า รายได้ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 2.2-2.3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 1.8 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ซึ่งมีสัดส่วนถึง 80% ซึ่งในปีนี้ราคาที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 18-19 เซนต์/ปอนซ์ จากปีก่อนอยู่ที่เฉลี่ย 15-16 เซน/ปอนซ์ ประกอบกับปีนี้คุณภาพของอ้อยดีกว่าปีก่อน ส่งผลให้ในปริมาณอ้อยที่เท่ากันแต่ผลิตน้ำตาลได้มากกว่าปีก่อนถึง 1 ล้านกระสอบ และสัดส่วนรายได้จากการขายน้ำตาลนั้นมาจากในประเทศ 70% และจากต่างประเทศ 30 %

ขณะที่ สัดส่วนรายได้อีก 20% มาจากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง แบ่งออกเป็น รายได้จากธุรกิจเอทานอล 8.6% รายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย 8.3% และรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล 1.5% และรายได้อื่นๆ 2.9%

นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อยอีก 2 แห่ง โดยจะมีกำลังการผลิตแห่งละ 50 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้จะสร้างเสร็จในช่วงปลายปี 57 ถึงช่วงต้นปี 58 และโรงงานที่เริ่มผลิตไฟฟ้าไปแล้วอีก 60 เมกะวัตต์ รวมทั้งหมดจะมีกำลังการผลิตเป็น 160 เมกะวัตต์

ในขณะเดียวกันยังได้ลงทุนสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ ในเฟส 2 และโครงการผลิตนำเชื่อมและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ

“ปีนี้รายได้ของเราน่าจะเติบโตขึ้นได้ค่อนข้างดีจากราคาน้ำตาลที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว รวมถึงการผลิตน้ำตาลได้มากขึ้นในปริมาณอ้อยที่เท่าเดิม รวมถึงการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมรายได้ของเราให้เพิ่มมากขึ้นอีก ขณะที่เรามองว่าการที่เราเป็นผู้ผลิตน้ำตาลใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ แต่มีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่งเท่านั้น จะช่วยให้เราสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ในขณะเดียวกันเรายังสามารถแปรรูปสิ่งที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเพิ่มเติมได้อีกด้วย"นายสิริวุทธิ์ กล่าว

นายสิริวุทธิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้มากขึ้นเป็น 40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ภายในระยะเวลา 2-3 ปี จากที่บริษัทฯได้มีการขยายธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้น อาทิ การขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย การขยายโรงงานปุ๋ย เป็นต้น

“เราจะเพิ่มสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจต่อเนื่องให้มากขึ้น ซึ่งเราก็เริ่มจากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า และโรงงานผลิตปุ๋ยก่อน ซึ่งอนาคตเรายังมีอีกหลายๆโครงการที่เป็นไปได้ที่เราก็ยังดูๆอยู่ เช่นการผลิตไบโอพลาสติก แต่ตอนนี้เราก็จะทำแผนเบื้องต้นที่เรามีนี้ก่อน ซึ่งอย่างอื่นที่จะตามๆมานั้นก็ต้องติดตามต่อไปอีก เพราะนี่เป็นเพียงเริ่มต้นยังมีอย่างอื่นอีกที่เราสามารถทำได้" นายสิริวุทธิ์ กล่าว

สำหรับการระดมทุนในการนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 28 เม.ย.57 คาดว่าจะได้เงินกว่า 9 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจะนำเงินที่ได้ไปชำระเงินกู้จากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลเป็น 5.5 หมื่นตันอ้อย/วัน และสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากชานอ้อย ขนาด 60 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนโครงการใหม่ๆที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และส่วนสุดท้ายคือใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ