(เพิ่มเติม1) SIRI ยันเพิ่มทุนขยายธุรกิจ-เสริมแกร่ง-ลดหนี้หนุนแผนงาน“Engineer or Growth"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 29, 2014 16:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แสนสิริ(SIRI) ระบุว่าการเพิ่มทุนจดทะเบียนจะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยบริษัทมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการปรับตัน่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจาก SIRI จะมีเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรทั่วประเทศแล้ว ยังเพียงพอที่สามารถนำไปสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการลดสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน(Gearing Ratio) ลงจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.14 เหลือ 0.8 – 1 เท่าใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนศักยภาพของการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงสามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในการเข้าร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกับบริษัทได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 18/2557 อนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทขึ้นอีกจำนวน 8,209,037,422.95 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 11,614,597,115.13 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 19,823,634,538.08 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 3,614,411,191 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1.07 บาท พร้อมออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท(SIRI-W2) จำนวนไม่เกิน 3,614,411,191 หน่วยให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ์ โดยกำหนดใช้สิทธิ์ภายใน 7 ตุลาคมนี้

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงต่อไป บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จภายใต้แผนงาน “Engineer or Growth" ซึ่งประกอบด้วย 3 ประการ ได้แก่ ประการแรกคือ การแสวงหาโอกาส ทั้งโอกาสจากปัจจัยบวกในด้านต่างๆ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้นตามลำดับ, อัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 1, อัตราดอกเบี้ยซึ่งยังอยู่ในแนวโน้มที่ค่อนข้างคงที่ ขณะที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มในการปล่อยสินเชื่อที่ดีขึ้น นำมาสร้างประโยชน์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่ การโฟกัสในโปรดักส์และทำเลที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ด้วยการบริหาร portfolio ของโครงการทั้งหมดให้มีความสมดุลมากขึ้น อาทิ การปรับสัดส่วนของโครงการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็น 80% : 20% ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับแผนที่วางไว้โดยตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นยังนับว่ามีอีกหลายทำเลที่มีดีมานต์ชัดเจน แต่บริษัทยังขยายการพัฒนาโครงการไปไม่ครอบคลุมอย่างเต็มที่ อาทิ กรุงเทพฯ โซนเหนือ, โซนตะวันออก และโซนตะวันตก นอกจากนี้ยังต้องมีการปรับโครงสร้างสัดส่วนรายได้ที่มาจากประเภทโครงการที่มีอยู่ใน portfolio ทั้งหมดใหม่ ทั้งสัดส่วนโครงการแนวราบและแนวสูง และสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการในแต่ละระดับราคา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนมากที่สุด

ประการที่สอง การปรับกลไกภายในองค์กรให้สอดคล้องกับโอกาสในการสร้างประโยชน์สูงสุด โดยมีกลไกซึ่งบริษัทมองว่าต้องมีการจัดการโดยเน้นประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ อัตรากำไรเบื้องต้นที่ต้องทำให้ดีขึ้นอีก, ประสิทธิภาพเชิงต้นทุนในส่วนของค่าใช้จ่ายสนับสนุนการขาย และประสิทธิภาพเชิงต้นทุนในส่วนของค่าใช้จ่าย Admin อาทิ กระบวนการทำงานที่ต้องดำเนินการแบบสอดคล้องประสานกันในทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ทั้งฝ่ายออกแบบ ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายก่อสร้างที่ต้องร่วมกันควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด ซึ่งจะทำให้เกิด Standardised Design หรือการปรับแต่งงานออกแบบโดยยึดจาก platform เดิม อันจะช่วยสร้างความชำนาญและแม่นยำ ส่งผลให้งานก่อสร้างมีประสิทธิผลมากที่สุดทั้งในด้านต้นทุน คุณภาพ ความรวดเร็ว และความสวยงาม

และประการที่สาม การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดใหญ่ SIRI กล่าวว่า ภายหลังการเพิ่มทุนจดทะเบียน 8,209 ล้านบาทในครั้งนี้ บริษัทจะเน้นการสร้างกำไรเพิ่มมากขึ้น ด้วยการลดต้นการบริหารจัดการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคาดว่าในปี 57 บริษัทจะมีอัตรากำไรสุทธิ(ไม่รวมกำไรพิเศษ)เพิ่มขึ้นอมายู่ที่ 10-11% จาก 8% ในปี 56 จากนั้นในปี 60 อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นสูงระดับ 13-14%

"หลังแผนเพิ่มทุนครั้งนี้บริษัทเราก็จะทำให้อัตรากำไรสุทธิให้ดีขึ้นเทียบเท่าคู่แข่ง ซึ่งบริษัทอยากให้อยู่ที่ 13-14% โดยคาดว่าจะทำให้ได้ในปี 60 ในปี 57 ก็คาดว่าจะอยู่ที่ 10-11% เพิ่มขึ้นจากปี 56 ที่ 8%"นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับผลประกอบการก็จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทคงเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ที่ 33,000 ล้านบาท ส่วนในปี 58 ตั้งเป้าไว้ที่ 35,000-36,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 44,000 ล้านบาทในปี 60 ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Blacklog)อยู่ในระดับสูงสุดที่ 55,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปี 57-59 ซึ่งในปีนี้มีกำหนดรับรู้รายได้ราว 18,000-19,000 ล้านบาท, ปี 58 รับรู้รายได้ราว 20,000 ล้านบาท และปี 59 รับรู้รายได้ราว 16,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยอดรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/57 สามารถทำได้สูงกว่าเป้าหมายถึง 10-15% จากเป้าที่ตั้งไว้ 5,000-5,500 ล้านบาท โดยมาจากการโอนโครงการดีคอนโด แคมปัส รังสิต ที่มียอดโอนเข้ามาสค่อนข้างมาก

ส่วนยอดขาย Pre sale ในปี 57 ยังคงเป้าเดิมที่ 30,000 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะทำยอดขายได้เพียง 4,000 ล้านบาท แต่แนวโน้มในครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากแนวโน้มเศรษฐกิจและการเมืองที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในครึ่งหลังของปี 57 อีก 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 23,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ และโครงการแนวราบ 4 โครงการ

ทั้งนี้ บริษัทจะมีการปรับสัดส่วนโครงการในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในปี 60 ให้เป็น 80:20 จากปัจจุบันอยู่ที่ 85:15


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ