ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ AP ที่ A- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 30, 2014 17:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การมีสินค้าที่หลากหลาย และรายได้ในอนาคตที่รองรับด้วยมูลค่าโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนแรงกดดันจากต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงขึ้น รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคำนึงถึงความคาดหวังว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะฟื้นตัวขึ้นทีละน้อยหลังจากความขัดแย้งทางการเมืองยุติลง

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งในกลุ่มสินค้าหลักและจะสามารถปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสมดุล นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปและจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับประมาณ 50%-55% ในระยะปานกลางไว้ได้

AP ก่อตั้งในปี 2533 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นรวมกัน ณ เดือนมิถุนายน 2557 ในสัดส่วนประมาณ 30% ของบริษัท ในปี 2556 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านบาท นับเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้อยู่ที่ 15% ต่อปี รวมถึงยอดขายโดยเฉลี่ยที่ 1.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 บริษัทสามารถสร้างยอดขายถึง 9,300 ล้านบาท โดยยอดขายประมาณ 38% มาจากโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการซึ่งบริษัทลงทุนในกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับ MEC Thailand Investment Pte. Ltd. (MTI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Mitsubishi Estate Co., Ltd. (MEC) จากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทลงทุนในสัดส่วน 51% และ MTI ลงทุน 49%

บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยครอบคลุมในเกือบทุกประเภทซึ่งอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป โดยสินค้าในแต่ละกลุ่มสามารถสร้างยอดขายและมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับที่น่าพอใจ บริษัทมีผลประกอบการที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมในระดับราคาปานกลางถึงสูง ทั้งนี้ บริษัทเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก

สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2556 ถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2557 อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตที่ระดับ 5%-10% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรือมีรายได้ต่อปีประมาณ 1.9-2.2 หมื่นล้านบาท ความเสี่ยงต่อประมาณการด้านรายได้ของบริษัทมีค่อนข้างน้อยเนื่องจากบริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมาก โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัทอยู่ที่ 1.96 หมื่นล้านบาท คิดเป็นรายได้ต่อปีประมาณ 8 พันล้านบาทในช่วงปี 2557-2558

ช่วงปี 2557-2559 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 11%-13% โดยปัจจัยที่ยังคงกดดันอัตราส่วนกำไรประกอบด้วยต้นทุนค่าก่อสร้างและที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายการตลาดและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพื่อการเติบโตในธุรกิจของบริษัท บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ (หักด้วยเงินสดในมือ) ต่อทุนให้อยู่ที่ 1 เท่า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1 เท่า ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนภาระหนี้ต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน 51%) ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 50%-55% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรืออัตราส่วนภาระหนี้ (หักด้วยเงินสดในมือ) ต่อทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.2 เท่า

บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 3 เท่า บริษัทมีเงินสดในมือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 จำนวน 935 ล้านบาท และมีวงเงินระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 1.14 หมื่นล้านบาท

ส่วนภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท โดยทั่วไป บริษัทจะวางแผนให้ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นสอดคล้องกับกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม ในขณะที่หนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนส่วนใหญ่จะชำระคืนด้วยเงินสดจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินที่ไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินที่สามารถรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ได้เช่นกัน เงินลงทุนในสินค้าคงเหลือของบริษัทในช่วงปี 2557-2559 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ หรือประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับเงินทุนของบริษัทจะเพียงพอต่อแผนการขยายธุรกิจและการจ่ายเงินปันผล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ