ทั้งนี้ การขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังนั้นเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นพอสมควรจากช่วงครึ่งแรกปีนี้หลังจากประเด็นการเมืองคลี่คลาย รวมทั้งน่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดคำสั่งซื้อใหม่ๆ จากภาคเอกชนในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยพิจารณาจากดัชนีผู้บริโภคที่มีตัวเลขความมั่นใจที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นด้วย โครงการที่บริษัทดำเนินการในขณะนี้ เช่น โครงการการสร้างอาคารจอดรถอัจฉริยะ และโครงการพลังงานทดแทน คาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในครึ่งปีหลัง
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/57 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 348.87 ล้านบาท ลดลง 4.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 363.96 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิ อยู่ที่ระดับ 4.195 ล้านบาท ลดลง 68.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.24 ล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของรายได้และกำไรในไตรมาส 2/57 มีสาเหตุมาจากปัญหาทางการเมืองส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอตัวลง
ส่วนงวดครึ่งปีแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.57 บริษัทมีรายได้รวม 695.67 ล้านบาท ลดลง 10.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 780.55 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิ อยู่ที่ระดับ 17.22 ล้านบาท ลดลง 57.34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.37 ล้านบาท
“ครึ่งแรกปีนี้ ปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการชะลอตัว จึงมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกเช่นกัน แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาครวมของเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม"นายชำนาญ กล่าว