ทั้งนี้ การจัดกลุ่มดัชนีดังกล่าวขึ้นมาเพื่อที่จะให้นักลงทุนรู้ถึงข้อมูลข่าวสารของบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้ในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยเห็นได้จากในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยเกือบจะไม่มีการขยายตัวเลย แต่บริษัทจดทะเบียนยังสามารถยังสามารถมีกำไรในระดับสูงได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้การการพึ่งพาการเติบโตจากเศรษฐกิจในประเทศน้อยลง
จากการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.(SET)ไม่รวมตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ที่มีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศและรายได้จากต่างประเทศที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการในเอกสารของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาพบว่าบริษัทจดทะเบียนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 97 บริษัทในปี 55 เป็น 109 บริษัท ในปี 56 และเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มทรัพยากรและสินค้าอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันรายได้จากการขยายธุรกิจในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 56 บริษัทจดทะเบียนมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศสูงถึง 45-46% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มเข็งของบริษัทจดทะเบียนไทย
"การขยายไปยังต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนไทย แสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมีศักยภาพในการเติบตัวอีกมาก แต่อย่างไรก็ตามมองว่ายังมีความท้าทายอีกหลายด้าน เช่น ระเบียบภาษีที่แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน การวิเคราะห์การลงทุนจะยากขึ้นเนื่องจากความซับซ้อนของธุรกิจข้ามชาติ แต่เรามองว่าหากสามารถไปขยายกิจการในต่างประเทศก็จะเป็นการกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯที่จะเป็นเพียงการพึ่งพิงการเติบโตแค่ในประเท่านั้น"นายภากร กล่าว
นายภากร กล่าวต่อว่า การที่ประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้วในขณะนี้จะยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมากขึ้น โดยตลาดหุ้นมีนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิแล้วกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และขณะนี้นักลงทุนกำลังติดตามการทำงานของรัฐบาลว่าจะสามารถดำเนินการตามที่วางแผนไว้มากน้อยเพียงใด หากทำได้ตามที่กำหนดไว้ก็เชื่อว่านักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนมากขึ้น