กลุ่ม KTIS มีความพร้อมทั้งโรงงานผลิตน้ำตาลทรายที่มีกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงงานผลิตเอทานอลที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ โรงผลิตไฟฟ้าจากชานอ้อยที่มีอยู่เดิมขนาด 60 เมกะวัตต์ และจะเพิ่มอีก 2 แห่ง ขนาดโรงละ 50 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีโรงงานที่ผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยอ้อย ดังนั้น ยิ่งมีผลผลิตอ้อยมากขึ้น โรงงานเหล่านี้ก็จะมีวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานมากขึ้น ทำให้มีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมาสามารถเปิดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ 7-8 เดือนต่อปี ก็น่าจะเปิดได้ถึง 10 เดือน ดังนั้น อนาคตของกลุ่มเคทิสจึงมีแนวโน้มของการเติบโตที่ดีและมั่นคงยั่งยืน
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่ม KTIS กล่าวว่า ธุรกิจของกลุ่มแบ่งเป็น 2 ด้านหลักๆ คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่ก็ยังผูกติดกับราคาน้ำตาลในตลาดโลก และ ธุรกิจด้านชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่สูง สอดคล้องกับแผนพลังงานของรัฐที่พยายามส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาดมากขึ้น
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกของปี 57 สัดส่วนรายได้ในสายธุรกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 69% และธุรกิจด้านชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องประมาณ 31% แบ่งเป็น จากการจำหน่ายเยื่อกระดาษประมาณ 11% จำหน่ายเอทานอลประมาณ 10% จำหน่ายไฟฟ้าจากชานอ้อยประมาณ 6% และอื่นๆประมาณ 4%
ในครึ่งปีแรกเรามีรายได้จากการผลิตไฟฟ้าจากชานอ้อย 532.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 437.3% ซึ่งจะเห็นว่าเป็นการเติบโตที่สูงมาก แต่ในครึ่งปีหลังเราไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ทั้ง 6 เดือน เพราะต้องมีช่วงของการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงรักษา พร้อมๆ กับรอการหีบอ้อยรอบใหม่เพื่อให้มีเชื้อเพลิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากมีการปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น เราก็มีชานอ้อยที่เป็นเชื่อเพลิงมากขึ้น รายได้ของเราจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าย่อมสดใสแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นการโตแบบก้าวกระโดด ส่วนธุรกิจอื่นๆ เช่น การจำหน่ายเอทานอล ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางเราก็มีความพร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับ
ทั้งนี้ จากตัวเลขรายได้จากการขายและการให้บริการในรอบ 6 เดือนแรกของปี 57 จำนวน 8,897.91ล้านบาท มาจากการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย 6,115.19 ล้านบาท, การจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย 945.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 56 ประมาณ 18.7%, จากการผลิตเอทานอล 916.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.1%, ที่เหลือคือรายได้จากการบริการจักรกลทางการเกษตรและอื่นๆอีก 387.42 ล้านบาท