ฟิทช์คงอันดับเครดิต CPALL ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 22, 2014 13:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ของ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของบริษัทฯ ที่ ‘F1(tha)’ รวมถึงคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้มีประกันของบริษัทฯ ที่ ‘A+(tha)’

หุ้นกู้มีประกันของ CPALL ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ บริษัทฯ เนื่องจากหนี้สินมากกว่าร้อยละ 90 ของหนี้สินรวมของ CPALL เป็นหุ้นกู้มีประกันและเงินกู้ยืมจากธนาคารแบบมีหลักประกัน

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ: CPALL เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven มากกว่า 7,800 ร้านทั่วประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 60 ในด้านจำนวนร้าน ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับสองเป็นอย่างมาก ฟิทช์เชื่อว่า CPALL จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำทางการตลาดไว้ได้ แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันที่สูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีร้านค้าในเครือในจำนวนที่มากกว่าและครอบคลุมพื้นที่มากกว่าคู่แข่งขัน รวมถึงการมีหน่วยงานในเครือที่สนับสนุนกิจการค้าปลีกของบริษัทฯ ได้แก่การบริการด้านลอจิสติกส์ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาร้านค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน

เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง: CPALL บริหารงานร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ภายใต้สัญญา Area License Agreement ที่ทำกับบริษัท 7-Eleven Inc., แห่งสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดดำเนินการร้านค้าแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2532 ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านค้า 7-Eleven มากเป็นอันดับที่สองในโลก (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) รองจากประเทศญี่ปุ่น

การขยายธุรกิจไปยังธุรกิจค้าส่ง: การเข้าซื้อกิจการของ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง (Membership based Cash & Carry trade center) ในประเทศไทย ทำให้ CPALL สามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจค้าส่ง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในด้านปริมาณและความหลากหลาย หลังจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว CPALL ได้กลายเป็นผู้ประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ประเภทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

กระแสเงินสดที่มั่นคงและการเติบโตที่แข็งแกร่ง: CPALL มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากสินค้าที่ขายในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพประจำวัน ในขณะที่การเติบโตของบริษัทฯ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยที่ยังเติบโตไม่ถึงระดับอิ่มตัว ฟิทช์คาดว่ายอดขายของ CPALL ในปี 2557 จะมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรวมงบการเงินของ Makro ในงบการเงินรวมของบริษัทฯ เต็มปีเป็นปีแรก นอกจากนี้ ยอดขายของ CPALL น่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2558-2560 จากการเปิดร้านค้าใหม่และอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิม แม้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิมอาจจะชะลอตัวลงในปี 2557

อัตราส่วนหนี้สินที่สูง: ด้วยความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ CPALL ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าแผนการขยายสาขาที่รวดเร็วขึ้นของ Makro อาจทำให้ Makro และบริษัทฯ (เมื่อพิจารณางบการเงินรวม) มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (Free Cash Flow, FCF) เป็นลบในปี 2557 แต่ฟิทช์คาดว่าการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินน่าจะช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้เดิมเพียงเล็กน้อย โดยอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) น่าจะลดลงเหลือประมาณ 5.0 เท่าถึง 5.5 เท่าในปี 2558 และต่ำกว่า 3.5 เท่า ในปี 2560 จาก 7.9 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยลบ: การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ช้ากว่าที่คาด โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5.0 เท่าอย่างมีนัยสำคัญในปี 2558 และสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ที่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 8.5 อย่างต่อเนื่อง (6 เดือนแรกของปี 2557: ร้อยละ 9.9) และ/หรือ การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (FCF) ที่เป็นลบต่อเนื่องกัน 2 ปี

ส่วนการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ