SMART ปิดเทรดวันแรกที่ 5.10 บาท สูงกว่าราคาขาย IPO 168.42%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 2, 2014 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หุ้น SMART ปิดเทรดวันแรกที่ 5.10 บาท เพิ่มขึ้น 3.20 บาท(+168.42%)จากราคาขาย IPO ที่ 1.90 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 1,140.89 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 5.70 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.05 บาท

นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.สมาร์ทคอนกรีต(SMART)เปิดเผยว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นSMART ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประกอบการของบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ผนวกกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในเกณฑ์ดีให้กับนักลงทุนได้ในระยะกลางและยาว โดยคาดว่าในช่วงต่อจากนี้หุ้น SMART จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

“SMART เป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ มีความโดดเด่นทั้งจากตัวธุรกิจของบริษัทเอง ฐานะทางการเงินและแนวโน้มการเติบโต เชื่อว่าหลังจากการระดมทุน แผนการดำเนินงานที่บริษัทวางไว้จะเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้น SMART”นายสมภพ กล่าว

ด้านนายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บล.โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า SMART เปิดตลาดในการซื้อขายวันแรกที่ 5.70 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 200% ระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุด 5.70 บาท และปิดตลาดที่ราคา 5.10 บาท กระแสตอบรับที่ดีดังกล่าวเป็นผลจากนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทได้มีการเผยแพร่ข้อมูลกับนักลงทุนในวงกว้างผ่านการโรดโชว์ 11 จังหวัด

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินราคาเป้าหมาย TP15F ของ SMART ที่ 2.80 บาท/หุ้น โดยอิง PER = 17.5x และมองว่าน่าสนใจลงทุนจากการเติบโตต่อเนื่องของยอดขายอิฐมวลเบา ตามแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดกำแพงได้ โดยอาศัยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมจากลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น จากที่สามารถประหยัดต้นทุนก่อสร้างได้ทั้งต้นทุนวัสดุและต้นทุนแรงงาน, สะดวกต่อการใช้งานทั้งประเภทงานซ่อมหรือต่อเติม ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 68% CAGR ในช่วง FY14-16F หรือราว 55 ล้านบาท 73 ล้านบาท และ 98 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราเติบโตที่ 166%, 33% และ 34% ตามลำดับ โดยมาจากการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 17% CAGR ในช่วงเดียวกัน จากคาดสามารถเข้าไปเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดกำแพงได้, คาด GPM ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 21% ใน FY13 มาอยู่ที่ระดับ 27% ใน FY16F จากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น (เชื้อเพลิง) และคาด SG&A expenses to sales ratio ปรับตัวลดลง จากที่รายได้ที่เติบโต ในขณะที่สามารถคุมค่าใช้จ่ายคงที่ได้ดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ