เนื่องจากในปีนี้มีการปรับหลักเกณฑ์ที่มีรายละเอียดมากขึ้นเป็น 237 ข้อ จากเดิมมี 148 ข้อ และมีการปรับวิธีการคำนวณคะแนนใหม่
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทจดทะเบียนไทยที่มีคะแนนต่ำสุด ก็มีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งได้ติดตามเข้าไปให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแก่บริษัทฯ ที่ยังมีคะแนนอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ หากพิจารณาคะแนนเฉลี่ยรายหมวดของผลสำรวจในปี 57 หมวดที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 70% ขึ้นไป มี 3 หมวด ได้แก่ หมวดการปฎิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน สิทธิของผู้ถือหุ้น และการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 91,87 และ 77 ตามลำดับ
ส่วนหมวดที่ที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับ 60% ได้แก่ หมวดความรับผิดชอบของคณะกรรมการ หมวดการคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 63 และ 62 ซึ่งคงต้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบจำนวนบริษัทตามผลการสำรวจที่ได้รับในแต่ละระดับ ซึ่งมีการประกาศผลตามจำนวนสัญญลักษณ์ของคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ พบว่า มีบจ. จำนวน 308 บริษัทที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 70% ขึ้นไป หรือระดับดีขึ้นไป โดยในจำนวนนี้มีบริษัที่ได้รับคะแนน 90% ขึ้นไปหรือระดับดีเลิศ จำนวน 29 บริษัท (5%) บริษัทที่ได้รับคะแนน 80-89% หรือระดับดีมาก จำนวน 108 บริษัท (20%) และบริษัทที่ได้รับคะแนน 70-79% หรือระดับดี จำนวน 171 บริษัท (31%)
ส่วนกรณีที่ในช่วงนี้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นนั้น นายบัณฑิต ในฐานะที่เป็นคณะกรรมการกำกับดูแล มองว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังมีการควบคุมดูแล บจ.ไทยอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด ซึ่งมาตรการก็น่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามาส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่การส่งออก และการบริโภคที่เป็นตัวสะท้อนต่อปัจจัยยังต้องใช้เวลา ประกอบกับเศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัวลงจึงส่งผลมาถึงการนำเข้าและการส่งออก รวมถึงการลงทุน และทำให้การดำเนินธุรกิจในประเทศยังต้องระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งการออกนโยบายใหม่ของภาครัฐที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะส่งผลดีในปี 58