"กระทรวงพลังงานพร้อมจะเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน และจะใช้มาตรการเข้มข้นเพื่อจัดระเบียบภาคเอกชนที่มีพฤติกรรมเป็นกาฝาก อาศัยช่องว่างของระเบียบข้อบังคับเพื่อหาผลประโยชน์ ซึ่งขอเตือนไปยังผู้ประกอบการที่จะขายต่อใบอนุญาตจัดตั้งโรงไฟฟ้า หากพบและตรวจสอบได้จริงจะยกเลิกใบอนุญาตทันที" ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงข้อห่วงใยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ครั้งที่ผ่านมาถึงกรณีพบเอกชนหลายรายที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนแต่ยังไม่ยอมก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามสัญญา และตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการเร่ขายใบอนุญาตดังกล่าว ขณะที่มีเอกชนแสดงความสนใจที่จะลงทุนอยู่อีก 177 ราย แต่มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) แล้ว 14 ราย จำนวน 243.493 เมกะวัตต์ ยังไม่ดำเนินการลงทุน
ดังนั้น กระทรวงพลังงานได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(สกพ.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ให้เข้มงวดและตรวจสอบคู่สัญญากับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าที่อยู่ในข่ายได้รับใบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว แต่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง โดยจะขอให้ สกพ.ส่งรายชื่อผู้ประกอบการที่มีสัญญาแล้วแต่ยังไม่จ่ายกระแสไฟฟ้า(COD) และเช็คสถานะเพื่อให้ทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ยังขอให้เจ้าหน้าที่จาก สกพ.ประจำเขตทุกเขตที่อยู่ในพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งขนาดเล็ก(SPP) และขนาดเล็กมาก(VSPP) ประสานงานร่วมกับพนักงานจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าสัญญาของโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งในพื้นที่จริงว่าสถานะของโครงการแต่ละรายดำเนินการตามขั้นตอนในสัญญาและมีความคืบหน้าตามรายงานมาหรือไม่ หากพบพื้นที่ใดยังไม่ดำเนินการก็จะได้มีมาตรการและบทลงโทษต่อไป
"กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องใช้ไม้แข็งด้วยมาตรการเข้มข้นเข้าตรวจสอบโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีความล่าช้าในการซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญา และหากพบผู้ประกอบการรายใดมีพฤติกรรมอาศัยช่องว่างของสัญญาเพื่อทำการหาผลประโยชน์นั้นจำเป็นต้องหาบทลงโทษที่เฉียบขาด ซึ่งกระทรวงพลังงานอาจต้องยกเลิกสัญญาและยึดใบอนุญาตกลับมาทันที หากพบผู้กระทำผิดจริง" นายอารีพงศ์ กล่าว