IEC เล็งย้ายมาเทรดหมวดพลังงาน ม.ค.58-ตั้งกองทุนอินฟราฯ ช่วงปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 9, 2014 13:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภูษณ ปรีย์มาโนช ประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ย (EBITDA) ในปี 58 อยู่ที่ 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 123 ล้านบาท เนื่องจากในปีหน้าบริษัทจะมีรายได้จากการลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ โดยโครงการพลังงานทดแทนที่ได้ลงทุนไปแล้วในปีนี้ จำนวน 40 เมกะวัตต์ จะสามารถรับรุ้รายได้เต็มปีในปีหน้า ทำให้ EBITDA ในปี 58 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

“ผมมีความมั่นใจว่า EBITDA ในปีหน้าที่โตก้าวกระโดดได้มาอยู่ที่ 605 ล้านบาท เพราะเรามั่นใจว่าโครงการพลังงานจะให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้มีการแจ้งข้อมูลให้กับตลาดเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากบริษัทได้มีการเพิ่มทุน เพื่อนำไปลงทุนเพิ่มเติมด้วย"นายภูษณ กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 58 บริษัทเตรียมเงินลงทุน ทั้งหมด 3.67 พันล้านบาท ไว้ใช้สำหรับลงทุนทั้งหมด 8 โครงการ โดยมุ่งเน้นโครงการพลังงานพลังงานทดแทน ได้แก่ 1.เพื่อซื้อหุ้นสามัญ 75% ของบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล อ. แก้วลำดวน จ.สระแก้ว วงเงินรวม 390 ล้านบาท โดยชำระแล้ว 345 ล้านบาท 2. เพิ่มทุนในบริษัทไออีซี กรีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด จำนวน 140 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ สำหรับจัดทำระบบคัดแยกขยะ และเตาเผาขยะ เพื่อรับจ้างและสนับสนุนการดำเนินการของบริษัท จีเดค จำกัด ในการดำเนินโครงการบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

3. ลงทุนในธุรกิจด้านเทคโลยีสารสนเทศ ( ICT) กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 100 ล้านบาท 4. ร่วมลงทุนร้อยละ 25 ในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ขนาดกำลังผลิต 20 MW มูลค่า 300 ล้านบาท 5. ร่วมลงทุนในโครงการกำจัดขยะและแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า (MSW) จำนวน 600 ล้านบาท 6. ร่วมลงทุนในโครงการนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (Industrial Estate) จำนวน 300 ล้านบาท 7. ร่วมลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังานก๊าซชีวภาพ (Bio-Gas) จำนวน 400 ล้านบาท 8. ร่วมลงทุนในโครงการผลิตเอทานอล (Ethanol) จำนวน 450 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การลงทุนโครงการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นในปี 58 อีก 6 โครงการ จะทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในสิ้นปี 58 มีทั้งหมดราว 90 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 40 เมกะวัตต์ นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการลงทุนในโครงการผลิตเอทานอลในกัมพูชา กำลังการผลิต 80,000 ลิตรต่อวัน โดยจะนำแอทานอลที่ได้มาทำเป็นน้ำมัน E85 ขายในประเทศกัมพูชา ซึ่งตอนนี้บริษัทได้มีการสำรวจที่ดินแล้ว และอยู่ระหว่างการรอจดทะเบียนเป็นบริษัทในประเทศกัมพูชา

นอกจากนี้ บริษัทมีการเจรจาการเพื่อซื้อโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในประเทศ ขนาดกำลังการผลิต 120 เมกะวัตต์ โดยบริษัทคาดว่าจะดำเนินการเข้าเจรจาซื้อธุรกิจจำนวน 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากการเจรจาซื้อโรงไฟฟ้า SPP ในประเทศสำเร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในปี 58 มากกว่า 100 เมกะวัตต์

นายภูษณ กล่าวว่า จากการเข้ามาดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนมากขึ้นทำให้บริษัทคาดว่าในช่วงเดือนมกราคม 58 บริษัทจะมีการยื่นคำขอสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อขอย้ายหมวดเป็นกลุ่มพลังงาน จากปัจจุบันบริษัทอยู่ในหมวดโทรคมนาคม เนื่องจากบริษัทมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจในปี 57 ส่งผลให้สัดส่วนรายได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่มพลังงานทดแทนในปี 58 เป็น 90% จากปัจจุบันที่ 80% และปรับลดสัดส่วนรายได้กลุ่มโทรคมนาคมเหลือ 10% จากปัจจุบันที่ 20% “ที่บริษัทต้องการย้ายมาเทรดในกลุ่มพลังงาน เพราะบริษัทฯมีการรุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มรูปแบบ ส่งผลให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนไป ซึ่งกลุ่มธุรกิจพลังงานทดแทนจะให้มาร์จิ้นดีกว่ากลุ่มโทรคมนาคม แต่ทั้งนี้อยากฝากถึงภาครัฐให้มีการเร่งเดินหน้าแก้ไขราคาขายไฟต่อหน่วย หลังพบว่า ปัจจุบันราคาที่มีการทำสัญญาเริ่มมีแนวโน้มลดลง ซึ่งไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบการ เห็นได้จาก โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ FIT อยู่ที่ 6.50 บาท แต่ภาครัฐอนุมัติ FIT ใหม่เพียง 5.66 บาทเท่านั้น ส่งผลให้การกู้เงินกับสถาบันการเงินมีความยากลำบาก"นายภูษณ กล่าว

สำหรับการชำระหนี้แทนบริษัท จีเดค จำกัด ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการรอคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการชำระหนี้แทนบริษัท จีเดค จำกัด จำนวน 285 ล้านบาท ในกรณีที่จีเดคมีการผิดเงื่อนไขสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน ซึ่งสาเหตุที่ IEC ต้องเข้าไปรับภาระหนี้แทนจีเดค เนื่องจาก IEC มีสัดส่วนการถือหุ้นในจีเดครวม 50% และต้องการให้สามารถเดินหน้าจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในส่วนของโครงการบริหารจัดการระบบกำจัดขนะมูลฝอยชุมชน จำนวน 6 เมกะวัตต์

“ขณะนี้จีเดคจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วแต่ยังไม่เต็มกำลังการผลิตที่ 6 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้สามารถจ่ายไฟได้เพียง 4-5 เมกะวัตต์เท่านั้น ส่วนเงินที่จะชำระหนี้คืนแทนจีเดคนั้น เราได้เตรียมเงินไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงบอร์ดอนุมัติเท่านั้น"นายภูษณ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการตกลงเพื่อขอซื้อหุ้นจีเดคคืนจาก บมจ.ผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO) ที่มีการถือหุ้นในจีเดคทั้งสิ้น 50% โดยบริษัทได้มีมติขอซื้อหุ้นคืนจาก EGCO ทั้งหมด ซึ่งจะมีการจ่ายเงินในช่วงเดือนมีนาคม 58 และจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อจากจีเดค เป็น IEC หาดใหญ่ นอกจากนี้จะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทในเครืออื่นๆด้วย เช่น จากบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด เป็น IEC สระแก้ว เป็นต้น

ด้านนายณรงค์ องอาจมณีรัตน์ กรรมการบริหาร สายการปฏิบัติงาน 1 IEC กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการตั้งกองทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มูลค่าหลักพันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถตั้งกองทุนดังกล่าวได้ในช่วงปลายปี 58 ซึ่งวัตถุประสงค์ของการตั้งกองทุนดังกล่าวเพื่อนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทุน ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ของบริษัทในปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งหากการลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติมในปี 58 สำเร็จ คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นและมีความเหมาะสมในการจัดตั้งกองทุน

“การตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้เราหวังทำให้บริษัทเราปลอดหนี้และสามารถมีเครดิตในการสร้างหนี้ใหม่ เพื่อนำไปลงทุนต่อยอดโครงการอื่นๆเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำงานหนักมาก ก็คาดว่าช่วงปลายปีหน้าจะสามารถจัดตั้งกองทุนดังกล่าวได้แน่นอน"นายณรงค์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ