ขณะที่มองหุ้น ธนาคารกรุงไทย(KTB)และหุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK) โดดเด่นจากสินเชื่อภาครัฐและสินเชื่อกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) รวมถึงสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส คาดว่า สินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะขยายตัวได้ระดับ 8% จากระดับ 5% ในปีก่อน โดยการลงทุนของภาครัฐจะช่วยกระตุ้นทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวตามไปด้วย และจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวระดับ 3.5%
“เม็ดเงินที่จะออกมาอย่างแน่นอนสำหรับการลงทุนภาครัฐในปีนี้จะอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท โดยสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาครัฐจะมีการเติบโตค่อนข้างมากในปีนี้ รวมถึงสินเชื่อรายย่อยก็จะยังเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล"นางสาวอุษณีย์ กล่าว
ด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ทิศทางการเติบโตของสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปี 58 จะเติบโตระดับ 7% จาก 4% ในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธ.กรุงศรีอยุธยา ประเมินว่าจะอยู่ที่ 4% โดยการขยายตัวของสินเชื่อรวมจะผลักดันให้กำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้เติบโต 10% มาที่ 2.09 แสนล้านบาท จาก 1.9 แสนล้านบาทในปีก่อน ตามการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม
สินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารที่จะเติบโตในปีนี้ ได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนภาครัฐที่จะเริ่มทยอยออกมา และจะช่วยให้การลงทุนของภาคเอกชนมีการขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งกลุ่มสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่จะเป็นตัวผลักดันการเติบโตของสินเชื่อรวม รวมถึงในช่วงปลายปีจะยังได้รับผลดีของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตได้ในระดับหนึ่ง
นายอดิศร มุ่งพาลชล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะขยายตัว 6% จาก 4% ในปีก่อน เป็นผลจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะออกมา ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชนและกำลังซื้อของภาคครัวเรือนมีโอกาสขยายตัวขึ้น
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทรินีตี้ แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่าแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในปี 58 จะอยู่ที่ 6-7% มากกว่าระดับ 2.7% ในปี 57 โดยได้รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายของภาครัฐ ซึ่งหากมีการเกิดขึ้นจริงนั้นจะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน โดยการเติบโตของสินเชื่อดังกล่าวจะผลักดันให้กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารเติบโต 10% ในปีนี้
*มอง NPL ปีนี้ทรงตัวถึงลดลง
สำหรับในส่วนของ NPL นั้นโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่ามีแนวโน้มที่จะทรงตัวหรือลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย จากการชะลอตัวลงของหนี้เสียในกลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงการบริหารจัดการหนี้ของแต่ละธนาคาร
นายธนเดช จากบล.กรุงศรี คาดว่าระดับ NPL ของกลุ่มธนาคารในปีนี้จะมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อยอยู่ในระดับ 2% เนื่องจากการชะลอตัวของหนี้เสียในกลุ่มบัตรเครดิตและกลุ่มสินเชื่อรถยนต์มีระดับที่ลดลง ขณะที่มองกลุ่มธนาคารยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีการตั้งสำรองในระดับที่สูง
แต่นายอดิศร จากบล.ฟิลลิปฯ มองว่าช่วงครึ่งปีแรกระดับ NPL จะเพิ่มขึ้นจากการผิดนัดชำระของลูกค้าที่กู้ยืมในโครงการคืนภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์คันแรก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ NPL ของธนาคารมีแนวโน้มขยับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม NPL จะค่อยๆขยับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลังจากการบริหารจัดการของแต่ละธนาคารที่สามารถควบคุมระดับหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คาดว่าระดับ NPL ของกลุ่มธนาคารในปีนี้ จะยังทรงตัวในระดับที่ 2% เช่นเดียวกับปีก่อน
ขณะที่นักวิเคราะห์บล.ทรินีตี้ คาดว่า NPL ของกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 2.5% เนื่องจากหากเศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นด้วย
*เชียร์ KTB-KBANK โดดเด่น
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แนะนำลงทุนในหุ้น KTB และ KBANK โดยมองว่า KTB จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐซึ่งจะหนุนให้สินเชื่อขยายตัวได้ดี ขณะที่ KBANK จะได้รับประโยชน์จากสินเชื่อของภาคเอกชนทั้งในกลุ่มของเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายใหญ่
บล.เอเชีย พลัส แนะนำหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไว้ 3 ธนาคาร ได้แก่ KBANK ที่ประเมินการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้ระดับ 8% จากปีก่อน โดยกลุ่มสินเชื่อเอสเอ็มอี และกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่จะยังคงเป็นตัวที่ผลักดันการเติบโตของสินเชื่อรวม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ประเมินว่ากำไรสุทธิของ KBANK ในปีนี้จะเติบโต 16.9% จากปีก่อน และยังแนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 301 บาท/หุ้น
รวมถึงแนะนำ "ซื้อ" KTB ให้ราคาเป้าหมาย 29.16 บาท/หุ้น โดยมองจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐโดยตรง ประกอบกับในปัจจุบันธนาคารมีปริมาณสินเชื่อที่รอการอนุมัติที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการภาครัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะผลักดันให้สินเชื่อของ KTB ปีนี้จะเติบโตได้ 12% จากปีก่อนที่ขยายตัว 8% และจะส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้โตกระโดดระดับ 15.4% จากปีก่อนที่ติดลบ 4.2%
พร้อมทั้งยังแนะนำหุ้น"ซื้อ"หุ้นธ.ทหารไทย(TMB) ให้ราคาเป้าหมาย 3.76 บาท/หุ้น โดยประเมินว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโต 22% จากปีก่อน ขณะที่อัตราการขยายตัวของสินเชื่อปีนี้จะอยู่ 12% จากปีก่อนที่ 8.8% ขณะที่ระดับ NPL ยังอยู่ทรงตัวในระดับ 3.19%
ด้านบล.กรุงศรี แนะ"ซื้อ"หุ้น KTB และ KBANK โดยให้ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท/หุ้น และ 270 บาท/หุ้นตามลำดับ โดยประเมินว่า KTB จะมีการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้ที่ระดับ 9% จาก 8% ในปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของกลุ่มสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะผลักดันให้กำไรปีนี้ขยายตัวระดับ 13% จากปีก่อน มาที่ 3.7 หมื่นล่านบาท ขณะที่ระดับ NPL มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจากปัจจุบันที่ 3.1% จากการบริหารจัดการหนี้เสียลูกค้ารายย่อยที่เป็นปัจจัยกดดันในช่วงก่อนหน้านี้
สำหรับ KBANK คาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อในปี 58 จะอยู่ที่ 9% จาก 7% ในปีก่อน โดย 1 ใน 3 ของการเติบโตของสินเชื่อจะมาจากกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งมีการเติบโตขึ้น โดยได้รับผลดีจากการลงทุนภาครัฐที่ช่วยหนุนสินเชื่อทั้งในกลุ่มเอสเอ็มอี และสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่
อีกทั้งยังได้ผลักดันการขยายตัวของรายได้จากค่าธรรมเนียมให้เติบโตมากขึ้น จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งจะหนุนให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตได้ 11% มาที่ 5.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ NPL ยังทรงตัวที่ระดับ 2.1%
ส่วนบล.ทรีนีตี แนะนำการลงทุนสำหรับหุ้น KTB,KBANK และ TMB โดยแนะ"ซื้อ"หุ้น KTB ให้ราคาเป้าหมายที่ 27 บาท/หุ้น โดยมองว่าหากการเบิกจ่ายภาครัฐเกิดขึ้นจริงจะทำให้ KTB มีความโดดเด่นกว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เนื่องจากจะเป็นธนาคารแรกๆที่ได้รับผลดีในส่วนของงานภาครัฐ อีกทั้งธนาคารยังมีสินเชื่อที่รอสรุปอีกจำนวนมาก โดยประเมินว่าปีนี้ KTB จะมีสินเชื่อขยายตัวก้าวกระโดดในระดับ 7.5% จากปีก่อนที่ขยายตัวเพียง 2% ขณะที่ NPL คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับ 2.96%
ขณะที่ KBANK จะยังมีสินเชื่อเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ในระดับ 7% จาก 6% ในปีก่อน โดยมีสินเชื่อกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเป็นตัวหนุนที่สำคัญ ขณะที่กำไรสุทธิจะเติบโต 8-9% ส่วน NPL จะทรงตัวที่ระดับ 2% ซึ่งยังแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 258 บาท/หุ้น
ส่วน TMB แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.40 บาท/หุ้น โดยมองว่าการปรับโครงสร้างทางการบริหารและการเงินในช่วงที่ผ่านมา จะทำให้ผลการดำเนินงานออกมาค่อนข้างโดดเด่น โดยคาดว่าปีนี้ธนาคารจะมีกำไรสุทธิเติบโต 20% จากปีก่อน ขณะที่มีสินเชื่อเติบโต 8%