บลจ.ทหารไทย ตั้งเป้า AUM ปี 58 โตกว่าอุตสาหกรรมที่คาดโต 10-20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 26, 2015 09:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย (TMBAM) กล่าวว่า ในปี 58 ทางบริษัทได้มีการตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) จะเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม 10-20% ขณะที่ในปี 57 AUM สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 56 ที่อยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ทางบลจ.ทหารไทยยังเน้นการเติบโตกองทุนรวมประเภทต่างๆอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 57 ที่มีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับภาพรวมของการลงทุนในปี 58 หลังจากทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีข้อสรุปในการใช้มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน (QE) โดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชน วงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนเป็นระยะเวลา 18 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 58-กันนายน 59 โดยจะมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำและส่งผลไปถึงผลตอบแทนของตราสารหนี้ (Bond yield) อยู่ในระดับที่ต่ำเช่นกัน อีกทั้งยังทำให้อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) ในตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น

"แม้ P/E ในตลาดหุ้นจะสูงขึ้นแต่การลงทุนในตลาดหุ้นก็ยังมีความน่าสนใจอยู่หลังจาก ECB ประกาศใช้ QE เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมที่ดีจาก Low interest rate และ High P/E การทำ QE ก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ซึ่งคาดว่าการอัดฉีดเงินจะทำให้มีนักลงทุนนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจแลขให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างเช่นตอนที่สหรัฐฯประสบความสำเร็จในการทำ QE"นายสมจินต์ กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจในปีนี้ คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจในสหรัฐฯได้มีการฟื้นตัว โดยสหรัฐฯได้มีการประเมินอัตราการขยายทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 3.6% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของเวิลด์แบงก์ที่ 3.5% ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ที่เป็น Core Asset ของสหรัฐฯจะมีการเติบโตอย่างมากในปีนี้

นายสมจินต์ กล่าวถึงแนวโน้มของประเทศจีนในปีนี้ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน หลังจากรัฐบาลมีการสนับสนุนการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศควบคู่ไปกับการลงทุนของภาครัฐและเอกชน โดยรัฐบาลจีนยังคงมีความตั่งใจขยายแปฏิรูประบบโครสร้างพื้นฐานและมีการให้บริษัทเอกชนต่างๆมีการเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่าย และให้ดอกเบี้ยในระดับต่ำ ประกอบกับการเชื่อมต่อกันระหว่างตลาดหุ้นเซี่ยงไห้และตลาดหุ้นฮ่องกงจะทำให้ตลาดหุ้นจีนมีมูลค่บที่เติบโตขึ้นอย่างมาก และส่งผลไปถึงการเติบโตของหุ้นในตลาดหุ้นจีนทุกกลุ่มธุรกิจจะมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ยังแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน เน้นกระจายความเสี่ยง โดยหากลงทุนในตลาดหุ้นควรเป็นการลงทุนระยะยาว 5-7 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้ และควรกระจายสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไปในประเทศต่างๆที่มีเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดีหรือมีการฟื้นตัวที่เห็นได้ชัด อย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ