ขณะที่งบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 58-62) จำนวน 2.43 หมื่นล้านเหรียญ บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 55-70 เหรียญ/บาร์เรล โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงต่ำกว่า 55 เหรียญ/บาร์เรล งบลงทุนที่จะใช้แน่นอนมีสัดส่วน 70% ของงบรวม อีก 30% จะต้องมาประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันอีกครั้ง โดยจะต้องมาทบทวนดูว่าจะปรับลดอะไรได้บ้าง แต่โครงการที่จะลงทุนแน่นอน 70%ของงบปีนี้
"ราคาน้ำมัน ทางปตท.สผ.มีการติดตามมาตลอดเพราะเป็นหัวใจธุรกิจ สิ้นปีปิด 50 กว่าเหรียญ ขณะนี้อยู่ 45 เหรียญบวกลบ คำถามจะลงไปเมื่อไร หลาย House มองแตกต่างกัน ...วันนี้เราไม่รู้ว่าราคาน้ำมันจะเป็นทิศทางไหน แต่ก็คิดว่า อย่างน้อยในครึ่งปีแรกเราก็จะเห็นสัญญาณว่าราคานิ่ง หรือ bottom ที่เท่าไร " นายเทวินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้ทำแผนลดค่าใช้จ่าย หรือ กระบวนการลด, ละ, เลื่อน(save to be save) โดยบริษัทตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายจำนวน 560 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นกว่า 2% ของงบลงทุนภายใน 5 ปี โดยปี 58 ได้ปรับลดไปแล้ว 270 ล้านเหรียญทันทีตอนตั้งงบ และยังปรับลดลงอีก 58 ล้านเหรียญ ได้แก่ ลดในด้านงานปฏิบัติการ และยังมีการปรับลดงานออกแบบ หลุมเจาะ แท่นการผลิต และฐานการผลิต แต่ยังคำนึงถึงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
“culture ของการทำธุรกิจจะเปลี่ยนไปจากเดิมทำกันแบบอู้ฟู่ วันนี้สร้างวัฒนธรรมให้คนในองค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลง ในระยะยาวจะทำอย่างไรให้อยู่รอด"
นายเทวินทร์ กล่าวว่า โครงการที่กำลังพัฒนาเหลืออยู่ในปีนี้คือ โครงการเบอร์ซาบา ในอัลจีเรีย ซึ่งเป็นโครงการสุดท้ายในพอร์ต หลังจากเพิ่งเสร็จสิ้นการพัฒนาแหล่งซอติก้าในพม่า โครงการเบอร์ซาบา ได้ล่าช้าไป 1 ปี เพราะปัญหาขาดแคลนแรงงาน และยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 2/58 ตามแผนได้หรือไม่ เพราะมีข้อจำกัดด้านแรงงาน
นอกจากนั้นก็ไม่มีโครงการใหม่ที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทได้พิจารณาการลงทุนโครงการใหม่ให้รอบคอบ
สำหรับผลประกอบการในปี 57 ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปรับตัวลงเพราะรายได้ 2 ใน 3 มาจากก๊าซ ซึ่งมีราคานิ่ง อีก 1 ใน 3 เป็นคอนเดนเสทและน้ำมัน ซึ่งจะได้รับผลกระทบในไตรมาส 4 แต่บริษัททำประกันความเสี่ยงที่ราคา 90 เหรียญในสัดส่วน 70%เมื่อไตรมาส 3 ซึ่งครอบคลุมผลกระทบได้มาก
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4/57จะมีการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ ได้แก่ โครงการออยแซนด์ จากราคาซื้อที่ 2 พันกว่าล้านเหรียญเทียบกับมูลค่าทางบัญชี และ แหล่งมอนทารา มีการลงทุนสูง ประมาณ 200 ล้านเหรียญ สองแหล่งนี้จะถูกปรับลดมูลค่าทางบัญชีและจะกระทบต่อกำไร ส่วนแหล่งในโมซัมบิก ที่ลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญ แต่เป็นแหล่งก๊าซที่มีกำหนดตัดสินใจลงทุนในปลายปีนี้ คาดจะไม่มีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์
*แหล่งโมซัมบิกสรุปปลายปี อีก 4 โครงการเลื่อนไปก่อน
นายเทวินทร์กล่าวว่า บริษัทมี 5 โครงการที่เตรียมพัฒนา ขณะนี้มองว่า แหล่งก๊าซในโมซัมบิกมีโอกาสที่จะตัดสินใจการลงทุนเป็นโครงการแรก ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ในปลายปีนี้ เพราะจากที่มีการสำรวจพบว่ามีปริมาณสำรองอยู่จำนวนมาก และมีผู้ซื้อแล้ว 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด 10 ล้านตัน/ปี แยกทำ 2 โรงๆละ 5 ล้านตัน/ปี ขณะที่รัฐบาลโมซัมบิกได้ให้ความเห็นชอบกฎหมายการลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจผลตอบแทนการลงทุนในโครงการ โดยเฉพาะเงื่อนไขการแบ่งรายได้ ซึ่งรอเข้าสภาให้ความเห็นชอบต่อไป
ขณะเดียวกันก็อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ และอยู่ระหว่างคัดเลือกผู้รับเหมา EPC และรอสถาบันการเงินอนุมัติเงินกู้ หากอนุม้ติก็จะมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้นโดยคาดว่าใช้เงินกู้ 2 ส่วน และจากส่วนทุน 1 ส่วน สำหรับ PTTEP ซึ่งถือหุ้น 8.5% ในแหล่งโรวูม่า ออฟชอร์ เอเรีย 1 จะใช้เงินลงทุนในส่วนทุน 1 พันล้านเหรียญ ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ปลายปี 62 สำหรับโครงการ Cash Maple ในออสเตรเลีย ซึ่งประเมินปริมาณก๊าซ 3 ล้านล้านลบ.ม. ได้เลื่อนการลงทุนออกไป 2-3 ปีเพราะการดำเนินโครงการ FLNG ต้องใช้เวลานานประมาณ 6-7 ปี ซึ่งถึงเวลานั้นก็คาดว่าราคาน้ำมันก็จะไม่ต่ำกว่าปัจจุบัน
ขณะที่แหล่ง M3 ในพม่าแม้ว่าเจอก๊าซแล้ว แต่ยังต้องขอรอดูสถานการณ์ราคา คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนอย่างเร็วใน 2 ปี
ส่วนแหล่งฮัดซีเบอร์ราเกซ (HBR)ในอัลจีเรีย ได้ขุดพบน้ำมันและกำลังเจาะหลุมสำรวจ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำมัน 2 หมื่นบาร์เรล/วัน ทั้งนี้แม้ว่าจะเตรียมการลงทุนระดับหนึ่งแล้ว แต่จากราคาน้ำมันปรับลดลงมากที่ระดับราคา 40-50 เหรียญ/บาร์เรลก็มีผลต่อการลงทุน คาดว่าภายในปีหน้าจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
และแหล่งเคเคดี ออยแซนด์ ในแคนาดา บริษัทได้เปลี่ยนมาเรียกชื่อใหม่ว่า แหล่งมาเรียน่า โดยเป็นผู้ดำเนินการ 3 แหล่งย่อย ได้แก่ Thornburry , Hanging Stone และ South Leismer นั้น นายเทวินทร์กล่าวว่า แหล่งดังกล่าวมีต้นทุนสูงประมาณ 60 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาขายปรับตัวลงที่กว่า 30 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่จะหาวิธีพัฒนาซึ่งจะเตรียมภายในปีนี้ โดยจะเริ่มพัฒนาแหล่ง Thornburry ก่อนขณะเดียวกันก็รอการสร้างท่อส่งน้ำมันและบิทูเบนเพื่อลำเลียงจากแหล่งเคเคดี ออยแซนด์ มีอยู่ 2 เส้นคือไปทางตอนเหนือ และ ทางตะวันตกที่จะเข้าไปสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ช่วยลดต้นทุน หากรัฐบาลแคนาดาดำเนินการได้ปีนี้ ทางบริษัทคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนในอีก 1-2 ปี หรือปลาย 59หรือต้นปี 60 โดยขณะนี้มีโอกาสเลื่อนการลงทุนออกไปมากกว่าเพราะมีต้นทุนสูง
*กำเงินสดกว่า3 พันล้านเหรียญรอโอกาสซื้อกิจการ
นายเทวินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันปรับลงก็เป็นโอกาสให้บริษัทได้เข้าซื้อกิจการ โดยได้เตรียมเงินสดในมือไว้จำนวน 3 พันล้านเหรียญในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากระดมทุนจากการออก Hybrid Bond 1.6 พันล้านเหรียญ ทำให้ในช่วง 2-3 ปีนี้บริษทไม่จำเป็นต้องระดมทุน โดยเป้าหมายแรกๆที่จะเข้าซื้อกิจการ จะเป็นบริษัทในไทย และภูมิภาคอาเซียนนี้ ถัดมาจะเข้าซื้อกิจการ shale oil ในสหรัฐ ซึ่งหลายบริษัทมีราคาปรับตัวลง มองเป็นโอกาสธุรกิจ แต่ก็จะเข้าไปซื้อขนาดไม่ใหญ่เพื่อต่อยอดธุรกิจและเข้าไปเรียนรู้เทคโนโลยี ทั้งนี้ จะซื้อกิจการที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ
"จังหวะที่ดีที่เราเตรียมเงินไว้แล้ว โดยไม่ได้คิดว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ เรามี cash in hand ที่มากพอสมควร สถานการณ์การเงินเรามั่นคง เราไม่ need funding 2-3 ปีนี้ ต่อให้ราคาลงไป 40เหรียญก็อยู่ได้ แต่ต้องตัดงบ และลดค่าใช้จ่าย ถ้าราคาอยูที่ 40-50เหรียญ/บาร์เรล สัก 3 ปี องค์กรอยู่รอดได้แน่นอน สามารถผลิตแหล่งในอ่าวไทย อันไหนที่ทำอยู่แล้วไม่หยุด แต่ถ้ามีสัญญาณราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น ก็จะพิจารณาโครงการที่อยู่ในมือก่อน" นายเทวินทร์กล่าว