ในปีนี้บริษัทมุ่งที่จะขึ้นเป็นโบรกเกอร์ในระดับ Top 10 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.5% ต่อปี พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายด้านธุรกิจ Wealth Management ที่จะมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหารไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 25% กองทุนส่วนบุคคล 10% หุ้น 45% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 20% รวมทั้งมีแผนจะเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมให้กับอีก 2 บลจ.นอกจากนี้บริษัทยังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น บริษัทประกัน
ขณะที่ธุรกิจวาณิชธนกิจในปีนี้ ได้รับงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบริษัทอย่างต่ำ 10 รายเพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเข้าซื้อกิจการ(M&A)ทั้งนี้ ในปี 57 ซึ่งเป็นปีแรกของการดำเนินธุรกิจหลังจากสามารถดำเนินธุรกิจเต็มที่ช่วงตลาดหุ้นฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง บริษัทครองมาร์เก็ตแชร์ในธุรกิจหลักทรัพย์ ณ สิ้น ธ.ค.57 ราว 3% อยู่ในอันดับ 16 ของอุตสาหกรรม และขยายสาขาทั้งหมด 10 สาขา ด้านธุรกิจ Wealth Management มีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำและบริหาร รวม 20,286 ล้านบาท แบ่งเป็นพอร์ตกองทุนรวม 19% กองทุนส่วนบุคคล 4% หุ้น 66% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 11% โดยเป็นตัวแทนขายกองทุนรวม ให้กับ 16 บลจ.
นายพิชิต กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีรายได้รวมเกิน 1,000 ล้านบาท สูงกว่าปี 57 ที่มีรายได้กว่า 600 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะดีต่อเนื่องจากปีก่อน แม้เพิ่งเปิดบริษัทได้ราวครึ่งปีแต่ก็ไม่ขาดทุน คาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิที่ 15-20% สัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 60-70% จากธุรกิจ Wealth Management รวมกับวาณิชธนกิจ(IB) อีก 30-40% จากปีก่อนสัดส่วนรายได้เป็น 80% และ 20%
ปัจจุบัน บริษัทมีบัญชีลูกค้า 6,000 บัญชี โดยเป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ 68% ตั้งเป้าสิ้นปี 58 เพิ่มเป็น 10,000 บัญชี โดยจะเป็นสัดส่วนลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% และลูกค้าบุคคล 70% จากปีก่อนที่มีเฉพาะลูกค้าบุคคล แต่ปีนี้เรามีความพร้อมมากขึ้นทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร ทีมงานและงานวิจัยก็จะหาลูกค้าสถาบันเพิ่มเข้ามา โดยปัจจุบันมีมาร์เก็ตติ้ง 220 คน
นายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงานบริหารความมั่งคั่ง กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดมีรายได้ IB เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทเข้าไปร่วมเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO และมีงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงินด้าน M&A อีก 1 ดีล เป็นการซื้อสินทรัพย์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ขนาดราว 1,300 ล้านบาท คาดว่าจะได้เห็นในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทได้เซ็นสัญญารับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ 4 บริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าระดมทุนรวมราว 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เข้าตลาดหลักทรัพย์(SET) และมีอีก 2 บริษัทอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)อย่างไรก็ตาม ทั้ง 6 บริษัทนี้คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ตั้งแต่ปี 59-60
" 4 บริษัทที่เซ็นสัญญาแล้วเตรียมตัวจะเข้า SET เป็นธุรกิจแพ็กเก็จจิ้ง ขนส่ง รับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจนำเข้าวัสดุก่อสร้าง ส่วนที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาจะเข้า mai เป็นธุรกิจอุปกรณ์ในครัวเรือนและอสังหาฯ น่าจะเห็นในปี 59-60" ดร.ศุภกร กล่าว
นายพิชิต กล่าวว่า แผนงานในปีนี้ด้านกลยุทธ์การตลาดเน้น 2 กลยุทธ์เด่น กลยุทธ์แรก การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้ารายย่อยผ่านการขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา จากเดิม 10 สาขา รวมเป็น 15 สาขา ขยายฐานลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินขององค์กรภาครัฐ ละกลยุทธ์ที่ 2 มุ่งเป็น Innovative broker ที่สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้าง Wealth ให้กับลูกค้า ทั้งในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (Innovative trading) ด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ (Innovative investment & product) และด้านบริการงานวิจัย (Innovative research)
ในปีนี้บริษัทมีแผนจะทำ Asia Wealth App ซึ่งเป็น Trading application ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ PC และ Smartphone ลูกค้าจะสามารถซื้อขายหุ้น และกองทุนได้ทุกที่ โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้าสามารถซื้อขายทำกำไรได้“ง่าย เร็ว สะดวก เสถียร"รวมทั้งลูกค้าสามารถดูพอร์ตการลงทุนและผลตอบแทนรวมได้ พร้อมทั้งมี Option เสริมในส่วนของบทวิเคราะห์หุ้น และกองทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนอีกด้วย
ด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ ทาง Wealth Management มีแผนที่จะเตรียมนวัตกรรมการการลงทุนใหม่สำหรับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล (Private fund) โดยจะเริ่มเปิดตลาดการลงทุนตรงในต่างประเทศ เช่น ในหุ้นปันผลสูงของเอเชีย, แผนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ ๆ เช่น อนุพันธ์ เพื่อเร่งสปีดความมั่งคั่ง, ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด โดยมุ่งเน้นการรักษาเงินต้นของลูกค้า, และสร้างแพ็กเกจความมั่งคั่ง เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน เช่น โครงการ“มี 50 ล้าน ก่อน 50"