แผนช่วงที่สอง บริษัทจะมุ่งแสวงหาโอกาสในการต่อยอดของยอดขายให้ได้ 10,000 ล้านบาทภายในปี 63 โดยการศึกษาการพัฒนาสินค้าภายในและศึกษาโอกาสการเข้าซื้อ Brand สินค้าที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบนด์ SAPPE ให้แข็งแรงและสามารถขายผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย ที่กระจายทั่วโลกให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆขึ้น
"ในการก้าวสู่ Global Brand เราใช้โมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นจัดตั้งบริษัท SAPPE Indonesia โดย SAPPE เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า ทำตลาดร่วมกัน และสามารถผลักดันแบรนด์ SAPPE ให้เป็นที่ยอมรับ ของผู้บริโภค ซึ่งจะสามารถผลักดันยอดขายได้ถึง 500 ล้านบาทภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปี"นางสาวปิยจิต กล่าว
นางสาวปิยจิต กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นแบรนด์สินค้าเครื่องดื่มและอาหาร แต่เป็นแผนระยะยาวที่คาดว่าจะมีข้อสรุปหลังปี 60 โดยมองว่าการเข้าซื้อกิจการเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาทในปี 63 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้บริษัทจะยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบรนด์ SAPPE ให้มียอดขายใน 60 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์"โมกุ"ที่ตั้งเป้าในปี 62 จะมียอดขาย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วงไตรมาส 2/58 บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 2-3 ในกลุ่มเครื่องดื่ม นอกจากนี้ บริษัทอยุ่ระหว่างศึกษาการผลิตและจำหน่ายอาหารขบเคี้ยว(snack)ทั้งการลงทุนตั้งสายการผลิตเองและซื้อกิจการ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นบริษัทที่มีการเติบโตทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่มไปพร้อมกัน
นางสาวปิยจิต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20% เป็นการเติบโตจากรายได้จากต่างประเทศโต 30%และ ในประเทศเติบโต 10% เนื่องจากความต้องการของตลาดในต่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง และขณะนี้ได้ร่วมทุนกับจีนและอินโดนีเซียที่มีประชากรจำนวนมาก จะทำให้ยอดขายบริษัทเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และยังมองหาการร่วมทุนขยายตลาดในประเทศอื่นเพิ่มเติม โดยใช้ SAPPE Holding เป็นบริษัทที่เข้าร่วมทุน
"บริษัทจะไปให้ได้ยอดขาย 1 หมื่นล้านบาทในปี 2020 (ปี 63) เรามั่นใจ เพราะ SEPPE ได้ขายในอินโดฯแล้ว ต่อไปก็จะขายในจีน ซึ่งคนเยอะกว่าอินโดฯเกือบ 5 เท่า แค่ 2 ประเทศหลักนี้การจะไปให้ถึงเป้าไม่น่าจะยาก นอกจากนี้ หลังปี 60 ศึกษาซื้อแบรนด์และซื้อได้ก็จะช่วยผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้า" นางสาวปิยจิต กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุน 450 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อขยายกำลังการผลิตที่โรงงาน จ.ปทุมธานี เพิ่มขึ้นอีก 30% ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอรองรับการเติบโตไปถึงปี 63 และคาดว่าจะใช้งบการตลาดสูงกว่าปี 57 เพื่อเน้นการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากปกติใช้งบการตลาดในสัดส่วน 15-17%ของยอดขาย ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 1/58 คาดว่าจะอ่อนตัวตามฤดูกาล และจะขึ้นไปสูงในไตรมาส 2/58 และไตรมาส 3/58