ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร"เคที ซีมิโก้"ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 1, 2015 13:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบริษัท ตลอดจนการมีบริษัทในเครือที่เปิดดำเนินกิจการในประเทศลาวและเวียดนาม รวมถึงการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย(KTB) ซึ่งถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 50%

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ธนาคารมีกับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากฐานทุนที่ค่อนข้างตึงตัวและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบ

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป และจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ภายใต้สภาพการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งจะคงไว้ซึ่งระบบจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอในการควบคุมความเสี่ยงในการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ รวมไปถึงกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพของอัตราการเติบโตของกำไรและสถานะของเงินทุนเอาไว้ได้ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทสามารถที่จะปรับลงได้หากบริษัทสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง หรือหากบริษัทเพิ่มสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างมีนัยสำคัญอย่างต่อเนื่อง

การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลักทรัพย์ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทในปี 2555 ลดลงจาก 4.14% (อันดับที่ 10) ลดลงมาอยู่ที่ 2.96% ในปี 2557 (อันดับ 13) อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าโดยเฉลี่ยให้ ใกล้เคียงกับปีก่อน ในขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมลดลงอย่างมากจากปีก่อน มีผลทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทไม่ได้ลดลงมาก โดยลดลงจาก 4.8% ในปี 2555 มาอยู่ที่ 4% ในปี 2557 สำหรับธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้น บริษัทถือเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้นำ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้ในธุรกิจนี้อยู่ที่ประมาณ 5%-6% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยมาโดยตลอด โดย 37% ของบัญชีเปิดใหม่ในปี 2557 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารกรุงไทย เทียบกับในปี 2553 ซึ่งมีสัดส่วนดังกล่าวไม่ถึง 10% สำหรับบัญชีลูกค้าที่แนะนำโดยธนาคารกรุงไทยที่มีการเคลื่อนไหวบัญชีอยู่เป็นประจำมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2554 เป็น 21% ในปี 2557 บริษัทได้ใช้ความพยายามในการทำให้พนักงานของธนาคารมีความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการแนะนำลูกค้าของธนาคารให้มาใช้บริการของบริษัท

นอกจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังให้การสนับสนุนแก่บริษัทในด้านการเงินด้วย โดยประมาณ 70% ของวงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่บริษัทมีเป็นวงเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องและมีเงินทุนเพียงพอในการขยายธุรกิจ การสนับสนุนจากธนาคารในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่ใช่บริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจวานิชธนกิจมากถึง 152 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ถึง 260% อันเป็นผลมาจากการแนะนำลูกค้าจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากความร่วมมือกับธนาคาร

บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ไทยรายแรก ๆ ที่ขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอินโดจีน โดยบริษัทถือหุ้น 30% ใน BCEL-KT Securities Co., Ltd. (BCEL-KT) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 1 ใน 3 แห่งของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายอยู่ในประเทศเวียดนามด้วยโดยผ่านการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ใน Thanh Cong Securities Joint Stock Company โดย บล. ซีมิโก้ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอีกรายหนึ่ง (ในสัดส่วน 49.6%) การริเริ่มขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศก่อนคู่แข่งไทยรายอื่นน่าจะสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทในการให้บริการด้านวาณิชธนกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามชาติ รายได้จากการให้บริการด้านวาณิชธนกิจในปี 2557 คิดเป็น 8% ของรายได้รวมของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 2% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2556 อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งก็คาดหวังที่จะเห็นธุรกิจวาณิชธนกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นการให้บริการแก่ลูกค้านอกประเทศและส่วนที่มาจากการแนะนำลูกค้าของธนาคารกรุงไทยจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วนที่มากพอสมควรต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้

แม้ว่าภายหลังการรับโอนธุรกิจหลักทรัพย์จาก บล. ซีมิโก้ในปี 2552 จะทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีกำไร แต่สัดส่วนกำไรต่อรายได้ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูง โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 71% ของรายได้สุทธิในปี 2557 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 60% การมีสัดส่วนกำไรต่อรายได้ที่ต่ำนี้อาจทำให้บริษัทตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบในการแข่งขันและอาจส่งผลกดดันความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นภายหลังการเปิดเสรี

ปัจจุบัน บริษัทมีการจำกัดความเสี่ยงด้านการตลาดโดยไม่มีการลงทุนแบบเก็งกำไรเหมือนในอดีต แต่มีเพียงการลงทุนแบบ Arbitrage กับการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นปี 2556 อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาทซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับ ณ สิ้นปี 2555 ในระหว่างปี 2557 ยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 4.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อนี้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมแต่ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยบริษัทมีสัดส่วนการให้สินเชื่อเทียบกับยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์รวมทั้งอุตสาหกรรมค่อนข้างนิ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีฐานเงินทุนที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว การขยายตัวของสินเชื่อนี้จึงทำให้บริษัทจัดว่ามีการใช้หนี้สินเทียบกับทุนที่สูงมากที่สุดบริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะใช้ความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อหรือในการตัดสินใจใดใดที่จะส่งผลในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น

ณ สิ้นปี 2556 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 พันล้านบาท จาก 2.1 พันล้านบาท ณ สี้นปี 2555 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นเดิมในระหว่างปี 2556 เป็นการแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างดีของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท อัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35% ในปี 2556 และ 2557 เทียบกับ 24% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการใช้ทุนอย่างเต็มที่ของบริษัททำให้บริษัทจัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปต่ำมากที่สุดแห่งหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ