(เพิ่มเติม) ผจก.กองทุนในประเทศมองแนวโน้ม SET Index ครึ่งปีหลังได้ลงทุนภาครัฐหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 22, 2015 18:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวในการสัมมนา"กองทุนมองหุ้นไทยจะย่อหรือไปไตรมาส 3 และสร้างพอร์ตแกร่ง ด้วยกองทุนหุ้น"ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย(SET Index)ในปีนี้ที่ 1,500-1,600 จุด คาดว่าจะไม่ต่ำไปกว่า 1,470 จุด เนื่องจากตลาดฯจะได้รับปัจจัยหนุนหลังภาครัฐฯเริ่มมีความชัดเจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น คาดว่าน่าจะมีเริ่มมีการประมูลโครงการใหม่เกิดขึ้นหลายๆโครงการในระยะเวลาต่อจากนี้

ส่วนภาคท่องเที่ยว ปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสเมอร์ส โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ผ่านมาข่าวการระบาดของไวรัสเมอร์ส และล่าสุดการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่มองว่าจะเป็นผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น เพราะเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวได้

ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้งติดต่อกันของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)เป็นผลดีที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ในขณะเดียวกันยังส่งดีต่อค่าเงินบาท ทำให้ปรับตัวอ่อนค่าลงมาในช่วงที่ผ่านมา และจะเป็นผลดีต่อการส่งออกในครึ่งปีหลังด้วย

นายบุญชัย แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงการขนาดใหญาของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น

ด้านนายพงษ์พิเชษฐ์ นานานุกุล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากจะมีโครงการภาครัฐฯเข้ามาสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดในระยะสั้นนี้ อาจจะได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคเมอร์สที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศไทย รวมถึงปัญหาที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO)ติดธงแดงประเทศไทยในเว็บไซด์ รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของรัฐธรรมนูญและกรอบระยะเวลาเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน

ทั้งนี้ มองว่าจังหวะที่ดัชนีปรับตัวลดลงในระยะสั้นถือเป็นโอกาสซื้อสะสมเพื่อลงทุนในระยะยาวอย่างน้อย 1-2 ปี โดยมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะยาวยังน่าสนใจ โดยให้เป้าหมายของ SET Index ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด บนค่า P/E ที่ 16-17 เท่า และคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 58 จะเติบโตได้ราว 15-20% จากฐานต่ำของปีก่อน

"การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ยังเป็นที่น่าสนใจ เพราะมองว่าทางภาครัฐฯจะมีการต่ออายุของกองทุนรวม LTF ออกไปอีกสักพัก แต่อาจจะจำกัดการลดหย่อนให้ลดลง เพื่อลดการใช้ LTF เป็นโอกาสในการเลี่ยงภาษี"นายพงษ์พิเชษฐ์ กล่าว

นายพงษ์พิเชษฐ์ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจปีนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ(AUM)ในปีนี้จะสูงขึ้นมาที่ 1.2 ล้านล้านบาทตามเป้าหมาย หลังจากในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาสามารถผลักดัน AUM เพิ่มขึ้น 1.1-1.2 แสนล้านบาทไปแล้ว จาก AUM สิ้นปี 57 อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท

ช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทเตรียมออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)เพิ่มเติมอีก แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการออกกอง REIT ดังกล่าว เพราะยังต้องรอติดตามภาวะตลาดให้มีความเหมาะสมก่อน นอกจากนี้ ยังมีแผนออกกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF)ด้วย เนื่องจากมองว่าตลาดต่างประเทศให้ผลตอบแทนดีกว่าในประเทศ ซึ่งตลาดที่น่าสนใจ ได้แก่ ญี่ปุ่น จากสภาพคล่องที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. แมนูไลฟ์(ประเทศไทย) คาดว่าดัชนีหุ้นไทยช่วงสิ้นปีจะปรับขึ้นไปอยู่ระดับ 1,640 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 1,600 จุด บนพื้นฐานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ที่จะเติบโตราว 10-15% โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ค่อนข้างดี ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่คาดว่าจะออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะกระตุ้นให้ภาคเอกชนออกมาลงทุนเพิ่มเติมด้วย จะเป็นตัวช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ดีขึ้น
          อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 3/58 คาดว่าดัชนีจะยังเป็นช่วงที่มีการชะลอการลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการปรับประมาณการต่างๆ โดยคาดว่าการเคลื่อนไหวจะอยู่ในกรอบแนวรับที่ 1,400 จุดช่วงปลาย ส่วนกรอบแนวต้านจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 จุดช่วงปลาย ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อาจจะส่งผลต่อบรรยากกาศการลงทุนบ้าง โดยมองระดับดัชนีต่ำสุดจะอยู่ที่ 1,480 จุด  ขณะที่สถานการณ์โรคเมอร์ส และกรณี ICAO ขั้นเครื่องหมายธงแดงของไทยนั้นมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น
          สำหรับเป้าหมายของ AUM ของบลจ.แมนูไลฟ์ ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 50% จากปีก่อนที่ 8 พันล้านบาท โดยมีแผนจะออกกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่สร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีผลตอบแทนดี และมีสภาพคล่องดี ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะออกกองทุนใหม่อีก 2 กอง เป็นกองต่างประเทศ แต่ยังไม่กำหนดช่วงเวลาชัดเจน เนื่องจากต้องดูสภาวะตลาดประกอบการตัดสินใจ  โดยพอร์ตการลงทุนหุ้นจะให้น้ำหนักหุ้นไทย 30% หุ้นเอเชีย 30% หุ้นจีน 10% หุ้นสหรัฐฯ 10% หุ้นยุโรป 10% และ 10% เป็นหุ้นกลุ่มเฮลแคร์
          ขณะที่นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ คาดว่าแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในช่วงไตรปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ดัชนีฯจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,480-1,550 จุด ก่อนที่ปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3 โดยปัจจัยในประเทศ คือ การร่างรัฐธรรมนูญ และการลงทุนภาครัฐฯ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศคือ เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และปัญหาหนี้กรีซ ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีฯค่อยๆปรับตัวขึ้นได้ โดยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้ดัชนีฯจะอยู่ที่ระดับ 1,600-1,650 จุด บนพื้นฐานการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ 10% และมีระดับ P/E ที่ 15.5 เท่า
           โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ประชาชนยังต้องมีการใช้บริการ และบริโภคสินค้านั้นๆอยู่ รวมไปถึงหุ้นที่มีการปันผลในระดับสูง คือ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มบริโภค เช่น CPALL
           สำหรับเป้าหมาย AUM ของบลจ.วรรณ ในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1.05 แสนล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อนที่ระดับ 8.3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากธุรกิจ 4 ประเภท คือ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 ผลิตภัณฑ์
          นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/58 จะผ่านจุดต่ำสุด และมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% มาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,640 จุด จากระดับปัจจุบันที่ราว 1,500 จุด โดยมีปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐฯ โดยแนะให้ลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐฯ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน ได้แก่ กลุ่มบริโภค และกลุ่มส่งออก อย่างไรยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ