(เพิ่มเติม) CK เพิ่มเป้ารายได้ปีนี้แตะ 4 หมื่นลบ.,ดึงพันธมิตรร่วมรับงานรัฐ-ศึกษาลงทุนอสังหาฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 23, 2015 17:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ช.การช่าง(CK) ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เป็น 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท หลังจากแนวโน้มรายได้ในครึ่งปีแรกอยู่ในทิศทางที่ดี ขณะที่บริษัทมั่นใจว่าจะได้ส่วนแบ่งงานก่อสร้าง 20-25% ของโครงการเมกะโปรเจ็คต์ที่คาดว่าจะเข้าร่วมประมูลงานกว่าแสนล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลังด้วย รวมถึงยังจะมีงานใหม่รอเซ็นสัญญาอีก 1.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานใหม่ที่คาดว่าจะได้รับทั้งปีนี้ราว 3 หมื่นล้านบาท พร้อมเตรียมร่วมมือกับบริษัทรับเหมาในตลาดหุ้นจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อรับงานของภาครัฐในอนาคต

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าหมายช่วง 3 ปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้เฉลี่ย 3.5-4.0 หมื่นล้านบาท/ปี พร้อมทั้งจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้ที่ 9% และอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 5% อีกทั้งศึกษาแผนลงทุนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน 2-3 ปีนี้ด้วย

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังปีนี้คาดจะมีโครงการภาครัฐออกมาประมูล 4-5 แสนล้านบาท และปีหน้าอีกหลายแสนล้านบาท โดยครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะเข้าประมูลงานมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท และคาดว่าจะได้รับงาน 20-25% ของงานที่เข้าประมูล

ทั้งนี้ ในทั้งปี 58 คาดว่าจะมีงานใหม่เข้ามาประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้งานในมือ(Backlog)ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นเดือน มี.ค.58 มี Backlog อยู่จำนวน 8.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปี (ปี 59-61) ขณะที่บริษัทมีกระแสเงินสด 6.4 พันล้านบาท

"มั่นใจครึ่งปีหลังจะมีงานภาครรัฐออกมาเยอะ คิดว่าออกมาแน่นอน เราพร้อมทั้งเรื่องเงิน บุคคลากร เทคโนโลยีเราก็พร้อม เราเตรียมตัวมาหลายปีแล้ว" นายปลิว กล่าว

นายปลิว ยังกล่าวว่า บริษัทเตรียมจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้ารับงานโครงการภาครัฐที่จะเปิดประมูลเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ระบุว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด

สำหรับ งานโครงการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ 2 เส้นทางรวมประมาณ 4 หมื่นล้านบาท คือเส้นทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กม. และเส้นทางชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กม. นอกจากนี้ จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มูลค่างานก่อสร้าง 9 หมื่นล้านบาท งานก่อสร้างอุโมงค์หนองบอนของ กทม.มูลค่า 9,900 ล้านบาทคาดเปิดประมูล ส.ค.นี้ งานก่อสร้างอาคารการไฟฟ้านครหลวง มูลค่า 3,500 ล้านบาท คาดประมูลไตรมาส 4/58 เป็นต้น

ส่วนงานของ CK ที่รอเซ็นสัญญา ได้แก่ งานก่อสร้างอาคารศูนย์การแพยทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สัญญาที่ 2 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท และ โครงการน้ำบาก ที่สปป.ลาว มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท หลังจากไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมาบริษัทได้งานใหม่มาแล้ว 2 งานรวม 2.2 พันล้านบาท

นายปลิว คาดว่า ในปีนี้ CK จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดรับรู้รายได้ 2 หมื่นล้านบาทแล้ว และในไตรมาส 2/58 มีกำไรพิเศษจำนวน 1.2 พันล้านบาทจากการขายหุ้น บมจ.ไซยะบุรี เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี (XPCL) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 1,285 MW ให้กับบมจ.ซีเค พาวเวอร์(CKP) สัดส่วน 30%

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 59-61) CK ตั้งเป้าจะมียอดรับรู้รายได้ปีละประมาณ 3.5-4 หมื่นล้านบาท และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 9% และอัตรากำไรสุทธิที่ 5%

"เราจะมีทั้งงานภาครัฐ และงานที่เราลงทุนเอง เพราะงานภาครัฐเราจะเข้าไปสู้งานยากๆ โอกาสที่คู่แข่งขันจะกดราคาต่ำๆก็กลัวถ้าคิดผิด งานยาก งานใหญ่ คิดผิดพลาดจะลำบาก " นายปลิว กล่าว

นายปลิว กล่าวย้ำว่า จุดแข็งของกลุ่ม CK คือการเป็นเจ้าของโครงการและเป็นผู้ก่อสร้างเอง เพื่อทำให้มีงานสม่ำเสมอ และที่สำคัญระยะเวลาการดำเนินงานก่อสร้างและค่าใช้จ่ายงานก่อสร้างสามารถควบคุมให้อยู่ตามแผนได้ ทำให้บริษัทไม่ได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างล่าช้าและกลับช่วยสร้างรายได้เพิ่มในกรณีที่งานก่อสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนด ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์มา 20 ปีแล้ว และยุทธศาสตร์นี้กลุ่ม CK ก็ยังดำเนินการแนวทางนี้ต่อไป

นอกจากนี้ บริษัทมีแนวคิดที่จะขยายธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะเห็นการลงทุนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะเห็นโอกาสธุรกิจ

นายปลิว กล่าวว่า กลุ่ม CK ได้ปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง ซึ่งได้สรรหาผู้บริหาร ได้พิสูจน์ ดูวิสัยทัศน์ ความตั้งใจ ความสามารถ โดยให้นางสาวสุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKP มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK และให้นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ CKP โดยทั้งหมดจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 58

การเปลี่ยแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นการเตรียมบุคคลากรรุ่นหนุ่มสาวเข้ามาสานต่องานเพื่อนำพาบริษัทต่อไป เพราะเห็นว่าอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะสภาพแวดล้อมทั้งประเทศไทยและโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีและไอทีก้าวหน้าไปมาก ขณะที่โอกาสงานทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านมีอยู่มาก ซึ่งคนรุ่นใหม่จะช่วยเสริมวิสัยทัศน์ของกลุ่ม CK มากขึ้น อาจได้เห็นโอกาสใหม่ๆ และความท้าทาย หลังจากที่ตนเองทำงานใน CK มากว่า 43 ปี จนวันนี้อายุย่าง 72 ปี คาดว่าจะข่วยเหลือคนรุ่นใหม่ต่อไปในช่วง 5-10 ปีนี้ถึงจะวางมือได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ