ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดลบ 2.03 จุด แม้มีแรงซื้อแบงก์พยุงตลาด,วอลุ่มบางรอดูผลประชามติกรีซ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 3, 2015 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,489.59 จุด ลดลง 2.03 จุด (-0.14%) มูลค่าการซื้อขาย 36,792.66 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบทั้งแดนบวกและลบ แม้จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มแบงก์กลับเข้ามาช่วยพยุงตลาด แต่ยังไม่สามารถหนุนให้ดัชนีปิดตัวในแดนบวกได้ นักวิเคราะห์ฯเผยว่าตลาดยังรอดูปัจจัยจากกรีซ ที่จะมีการลงประชามติกรณีปัญหาหนี้กรีซในวันอาทิตย์นี้ ประกอบกับยังมีถ่วงจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอกดดันตลาดอยู่ โดยมองว่าการเคลื่อนไหวของดัชนีในสัปดาห์หน้าจะมีแนวรับบริเวณ 1,480 และแนวต้านที่ 1,510 จุด

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,489.59 จุด ลดลง 2.03 จุด(-0.14%) มูลค่าการซื้อขาย 36,792.66 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ โดยดัชนีปรับขึ้นทำระดับสูงสุดของวันที่ 1,495.37 จุด และทำระดับต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,485.50 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 280 หลักทรัพย์ ลดลง 523 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 265 หลักทรัพย์

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบทั้งแดนบวกและลบ ด้วยมูลค่าซื้อขายที่เบาบาง โดยนักลงทุนซื้อกลับหุ้นในกลุ่มแบงก์หลังจากที่ปรับลดลงแรงเมื่อวานนี้ ที่โบรกเกอร์ต่างปรับลดประมาณการกำไรกลุ่มแบงก์ลงจากแนวโน้มการตั้งสำรองที่สูงขึ้น ทำให้เมื่อมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/58 ออกมาคาดว่าจะไม่มีข่าวร้ายที่สร้างความประหลาดใจอีกแล้ว

ขณะที่มองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนที่มีระยะเวลาถือครองหุ้น 1 ปีขึ้นไปสามารถเข้าลงทุนหุ้นแบงก์ได้ เพราะระดับมูลค่า(valuation) ในระดับปัจจุบันนับว่าหุ้นแบงก์น่าสนใจที่สุด และจะสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้สูงในอนาคต

อย่างไรก็ตาม มูลค่าซื้อขายที่เข้ามาในวันนี้ค่อนข้างเบาบาง หลังจากที่นักลงทุนรอดูสถานการณ์จากกรีซ ที่จะมีการลงประชามติในวันที่ 5 ก.ค.นี้เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะยอมรับข้อเสนอการปฏิรูปจากเจ้าหนี้หรือไม่ โดยหากเสียงส่วนใหญ่โหวต"Yes"หรือยอมรับแผนปฏิรูปของกลุ่มเจ้าหนี้ Troika ก็จะทำให้นายกรัฐมนตรีของกรีซจะหันหน้าเข้าเจรจากับ Troika เพื่อยอมรับกับเงื่อนไขเงินช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นผลกระทบเชิงบวก แต่ปัญหาหนี้กรีซก็อาจจะยืดเยื้อหากรัฐบาลจะประกาศลาออกด้วยซึ่งจะทำให้การเมืองกรีซจะเข้าภาวะสูญญากาศอีกครั้ง

ขณะที่หากผลประชามติส่วนใหญ่โหวต"No" ก็จะเป็นเชิงลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เพราะนายกรัฐมนตรีกรีซก็จะนำประชามติดังกล่าวไปเจรจากับเจ้าหนี้ซึ่งจะทำให้มีความยืดเยื้อ และนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ต่อธนาคารกลางยุโรป(ECB) มูลค่า 3.5 พันล้านยูโรในวันที่ 20 ก.ค.นี้มากขึ้น

ส่วนแนวโน้มการซื้อขายในสัปดาห์หน้า มองว่าแม้จะต้องจับตาผลการลงประชามติของกรีซ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีการลงทุนในหุ้นไทยไม่มากนัก แม้เมื่อวานนี้จะมีการขายสุทธิออกมากว่า 4 พันล้านบาท แต่ก็เป็นการขายเฉพาะเจาะจงไปยังกลุ่มธนาคารเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศน่าจะมีอิทธิพลต่อการลงทุนมากกว่าหลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยยังออกมาไม่ดีนัก ดังนั้น คาดว่าไม่ว่าผลการลงประชามติของกรีซจะออกมาในทิศทางใดก็เชื่อว่าดัชนีที่ระดับ 1,480 จะรองรับได้ ขณะที่มองแนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,510 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,307.64 ล้านบาท ปิดที่ 180.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
         SCB        มูลค่าการซื้อขาย  1,194.12 ล้านบาท ปิดที่  152.00 บาท เพิ่มขึ้น  2.00 บาท
         KTB        มูลค่าการซื้อขาย  1,187.32 ล้านบาท ปิดที่   17.20 บาท เพิ่มขึ้น  0.50 บาท
TASCO      มูลค่าการซื้อขาย  1,103.54 ล้านบาท ปิดที่   23.70 บาท เพิ่มขึ้น  0.60 บาท
         JAS        มูลค่าการซื้อขาย  1,073.56 ล้านบาท ปิดที่    5.35 บาท ลดลง   0.10 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ