ผู้จัดการกองทุนมองบวกลงทุนหุ้นไทยระยะยาวหวังมาตรการรัฐหนุนตลาดปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 29, 2015 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผู้จัดการกองทุน มองตลาดหุ้นไทยยังมองเชิงบวกต่อการลงทุนระยะยาวที่จะยังให้ผลตอบแทนที่ดี จากอัตราการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ประกอบกับนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนน่าจะเข้ามามากขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่เม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(RMF) ยังมีเข้ามาไม่มากนักในปีนี้

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ กล่าวในงาน "Mutal Fund Meet the Press: ผู้จัดการกองทุนมองหุ้นไทย ได้จังหวะเก็บ จริงหรือ?"ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ในระยะ 1-2 ปีนี้ เนื่องจากมี earning growth ที่มากกว่า 15% ต่อปี และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยมองดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,350-1,380 จุด บนสมมุติฐาน P/E เฉลี่ย 13.5 เท่า และแนะนำการลงทุนใน LTF/RMF โดยปัจจุบันเงินลงทุนใน RMF ของบริษัทยังมีเข้ามาไม่มากนัก

นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุนตราสารทุน รักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตสูงและมีศักยภาพการดำเนินงานที่แข็งแรงต่อเนื่อง รวมถึงคุณภาพผู้บริหาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนในปัจจุบันนี้

ตั้งแต่ต้นปีสังเกตเห็นได้ว่าผู้ที่ลงทุนใน LTF ยังมีเข้ามาไม่มากนักเมื่อเทียบกับปีก่อน น่าจะเป็นผลจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ในช่วงปลายปีเชื่อว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายภาครัฐที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดมากขึ้นจะส่งผลบวกต่อตลาดในช่วงปลายไตรมาส 3 ไตรมาส 4 นี้ได้ ฉะนั้นเมื่อมีการเข้าซื้อ LTF/RMF ในช่วงดังกล่าว อาจจะทำให้ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด ซึ่งปรับตัวลงมาราว 6% ตั้งแต่ต้นปี 58 ขณะที่ P/E ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมในการลงทุนแล้ว

พร้อมทั้งแนะนำการลงทุนให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงการลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย แต่สินทรัพย์ที่อยู่ในประเทศไทยจะต้องมากที่สุด โดยเห็นว่าควรจะลงทุนในตราสารหนี้ และตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนรวมกัน 50-60% ขณะที่ควรลงทุนในตลาดต่างประเทศด้วย อย่างตลาดพัฒนาแล้วที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดกำลังพัฒนาเกือบ 6% โดยมองว่าหุ้นที่น่าลงทุน คือ หุ้นกลุ่ม Healthcare ในต่างประเทศ ส่วนประเทศไทยมองหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงการพื้นฐานภาครัฐ ทั้งคอนโดมิเนียม ที่อยู่อาศัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บลจ.กรุงศรี ปีนี้จะเน้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหุ้นในระยะยาว โดยมองดัชนีปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,350-1,380 จุด

นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบริหารช่องทางจัดจำหน่าย บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้แย่ ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศปีนี้ตลาดประเทศไทยอาจจะดูลดลงไปบ้าง โดยมุมมองนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะมองการลงทุนประเทศกลุ่มอาเซียน ซึ่งในแง่ของ Valuation ถือว่าไม่แพง แต่ก็ไม่ได้ถูกมาก

เมื่อนำไทยไปเทียบกับประเทศกลุ่ม TIPS ไทยมีระดับ P/E ที่14-14.5 เท่า ซึ่งมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะมี EPS Growth อยู่ที่ระดับ 10% และผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับที่ 3% ขณะที่กลุ่มประเทศเหล่านั้นจะมี P/E อยู่ที่ 17-18 เท่า ทำให้มองว่าความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสายตาของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ และเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่เร่งเบิกจ่ายได้จริงและได้เร็ว

สำหรับการลงทุนใน LTF/RMF ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องลงทุน จากปัจจุบันที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก โดยการลงทุนในจังหวะนี้น่าจะเหมาะสมอย่างมาก ในลักษณะของการทยอยซื้อไปเรื่อยๆ เพื่อรอจังหวะที่เศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนเรื่องของค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่า มองว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออก แม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะติดลบไปบ้าง แต่ในระยะยาวเชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมการส่งออกดีขึ้นได้ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ช่วงบาทอ่อนก็จะได้ผลกำไร จากช่วงเงินบาทอ่อนด้วย

พร้อมกันนี้จากการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำทั่วโลกปัจจุบัน บลจ.แมนูไลฟ์ ให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารทุน หุ้น เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการลงทุนที่ผ่านมา ตามความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนรับได้ โดยมองประเทศ North Asia ,อินเดีย และบางประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย ซึ่งได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ส่วนการจัดพอร์ตการลงทุนให้หาหุ้นที่สอดคล้องกับการลงทุนภาครัฐ หุ้นกลุ่มสื่อสาร ท่องเที่ยว และ Healthcare

นายพีร์ ยงวณิชย์ รองผู้อำนวยการจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องตระหนักถึงความเสี่ยงว่ามีความผันผวน โดยหากผู้ที่สนใจลงทุนไม่มีความชำนาญ การลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกและมีผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่คัดสรรหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่ดี และฟันฝ่าสถานการณ์ต่างๆในช่วงนี้ไปได้

ตั้งแต่ต้นปี บลจ.บัวหลวง ถือว่ามีเม็ดเงินเข้ามาแล้วใน LTF/RMF เนื่องด้วยหลายๆคนจะมองในแง่ของผลตอบแทน โดยการลงทุนของบลจ.บัวหลวงจะมองการลงทุนแบบระยะยาวหรือ 3 ปี 5 ปี ด้านการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำว่าผู้ลงทุนควรประเมินว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีการกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก โดย บลจ.บัวหลวง เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare และกลุ่มปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่ ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งเน้นผลตอบแทนจากกรลงทุนเป็นหลัก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ