บลจ.ทิสโก้ แนะกระจายลงทุน"จีน-เยอรมัน-ญี่ปุ่น"เด่น มั่นใจตลาดฟื้นดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 5, 2015 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งหลังของปี 2558 ทิสโก้ยังคงให้น้ำหนักกับการกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เพราะมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยตลาดที่แนะนำให้เน้นลงทุน คือ จีน เยอรมัน และญี่ปุ่น

โดยตลาดหุ้นจีน ยังคงแนะนำOverweight ในตลาดหุ้นจีน H-Share เนื่องจาก Valuation ที่ยังถูก โดย Valuation กลับมาซื้อขายที่กรอบล่างของการซื้อขายในอดีตอีกครั้ง โดยค่า P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 8 เท่า ใกล้เคียงกับระดับ -1 S.D. และ PBV ที่ 1 เท่าซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2008 และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรวมถึงความคืบหน้าของการปฏิรูปที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาตั้งแต่ต้นปี จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนผ่านจุดต่ำในไตรมาส 2 และฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และเชื่อว่าจีนยังมีเครื่องมือทางนโยบายที่จะสามารถกระตุ้น เศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น การจัดการหนี้ในภาคธนาคารเงา การเปิดเสรีทางการเงิน การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาด และกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และการลดเงินดาวน์ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุน จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีนในระยะยาว

ขณะที่การปรับตัวลดลงของหุ้นจีน A-share ไม่ได้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานเศรษฐกิจแต่เกิดจากการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยและการใช้วงเงินกู้มาร์จิ้นในระดับสูง และเชื่อว่ามาตรการของทางการจีนมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะพยุงตลาดหุ้นได้ นอกจากนี้ผลกระทบของความผันผวนของตลาดหุ้นต่อภาคเศรษฐกิจจริงจะมีจำกัดเนื่องจาก จำนวนผู้มีบัญชีซื้อขายหุ้นในจีนมีจำนวนเพียง 55 ล้านบัญชี ซึ่งนับเป็นเพียง 4% เมื่อเทียบกับประชากรจีนจำนวน 1,340 ล้านคน และสินทรัพย์ของครัวเรือนจีนส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย คิดเป็น 41% และมีเพียง 8% ที่เป็นการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้นการฟื้นตัวของราคาบ้านในเขตเมืองใหญ่ (Tier-1 Cities) ซึ่งเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือน ก.พ. น่าจะช่วยชดเชยผลกระทบของการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นต่อความมั่งคงรวมของครัวเรือนจีนได้ส่วนหนึ่ง และการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นนั้นไม่ได้เป็นช่องทางการระดมทุนหลักของบริษัทจีน โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา การระดมทุนผ่านตลาดหุ้นคิดเป็นเพียง 4% ของการระดมทุนรวม (Total Social Financing: TSF) โดยแหล่งเงินทุนหลักของบริษัทจีนนั้น ยังคงเป็นการขอสินเชื่อจากภาคธนาคาร ที่คิดเป็นถึง 70% ของการระดมทุนรวม

ด้านตลาดหุ้นเยอรมันนี ดัชนี DAX ยังมี Discount จาก STOXX600 อยู่ราว 15% (วัดจาก forward P/E) ในขณะที่การเติบโตของกำไรสูงกว่า (10% vs 8%) รวมถึงการส่งออก (นับเป็น 40% ของ GDP) ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้การค้าโลกชะลอตัว และแนวโน้มการแข็งค่าของดอลลาร์ (และอ่อนค่าของยูโร) ช่วยสนับสนุนผลกำไรของบริษัทส่งออก

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความน่าสนใจอยู่ที่ระดับ Valuation ดูน่าสนใจที่สุด เนื่องจากตลาดหุ้นยังซื้อขายกันที่ P/E ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต (+0.2 S.D.) ในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์การเติบโตของกำไรสูง (15.5% ในปี 2015) โดยนักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการผลกำไรขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการรายงานผลประกอบการของบริษัทที่ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืน ที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุน และสนับสนุนการขยายตัวของ ROE

สำหรับประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งทิสโก้ประเมินว่า เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ในเดือนกันยายนหรือธันวาคม ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่ลดดอกเบี้ยลงไปที่ระดับ 0% มาเป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้เฟดไม่มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ย 0% อีกต่อไป และคาดว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงเนื่องจากเงินเฟ้อยังต่ำ จากราคา Commodities และดอลลาร์แข็ง โดยมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมัน และจีนจะได้ผลกระทบน้อย และมี Upside ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นโอกาสลงทุนในครึ่งปีหลัง

ด้านนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ทิสโก้นับเป็นรายแรก ๆ ในตลาดที่ได้แนะนำให้นักลงทุนได้กระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งนี้ตลาดต่างประเทศที่ได้แนะนำ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนมาตอบโจทย์ได้ในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ

สำหรับภาพรวมในครึ่งปีแรกของปีนี้ ทิสโก้ยังมุ่งออกกองทุนต่างประเทศโดยกระจายการลงทุนไปในภูมิภาคต่างๆ ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม ทั้งแบบประเภทกองทุนเปิด กองทุนประเภท สตาร์ พลัส (Star Plus Fund) และกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ (Trigger Fund)

"กองทุนที่โดดเด่นในครึ่งปีแรกคือกองทุนประเภท ทริกเกอร์ฟันด์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้การจับจังหวะตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ผ่านมาเราออกทริกเกอร์ฟันด์ครอบคลุมตลาดหุ้นในหลายภูมิภาค อาทิ กองทริกเกอร์หุ้นจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน เอเชียเหนือ อินเดีย รวมถึงหุ้นไทยหากมีจังหวะที่น่าลงทุน ไปถึงการลงทุนทางเลือกอย่าง กองทริกเกอร์น้ำมัน ซึ่งทุกกองที่เราออกล้วนได้รับการตอบรับที่ดี โดยตั้งแต่ปี 2557-2558 ทิสโก้ออกทริกเกอร์ฟันด์แล้วจำนวน 43 กองทุน โดยครบกำหนดอายุกองทุนแล้ว 30 กอง และอยู่ระหว่างลงทุน 13 กองทุน โดยในจำนวนกองที่ครบกำหนดอายุ ถึงเป้าหมายทั้งสิ้น 25 กอง และเปลี่ยนเป็นกองทุนเปิดให้ซื้อขายทุกวันทำการ 5 กองทุน ซึ่งถือเป็นบทพิสูจน์การเป็นผู้นำลงทุนของทิสโก้ได้เป็นอย่างดี"นายสาห์รัชกล่าว

อีกประเภทกองทุนที่ได้รับการตอบรับที่ดี คือกองทุนประเภท สตาร์พลัส ซึ่งเป็นกองทุนที่ช่วยนักลงทุนคัดเลือกกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละประเทศ หรือแต่ละเซกเตอร์ โดยเลือกผู้จัดการกองทุนที่เก่งที่สุดในตลาดนั้นๆ มารวมตัวกัน โดยถ้ารายไหนไม่สร้างผลงาน ก็สามารถเปลี่ยนออกได้ เหลือไว้แต่กองทุนที่มีผลงานดีเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุน โดยปัจจุบันกองประเภทสตาร์พลัสที่เรามี คือ โกลบอล สตาร์ พลัส ลงทุนในหุ้นโลก, เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส ลงทุนในหุ้นเฮลธ์แคร์โลก และ ไชน่า สตาร์ พลัส ลงทุนในหุ้นจีน ซึ่งทุกกองเราล้วนคัดสรรมาจากผู้จัดการกองทุนระดับโลก

ทั้งนี้ สำหรับกองทุนที่ บลจ. ทิสโก้แนะนำในครึ่งปีหลัง ยังคงเน้นที่กองทุนหุ้นต่างประเทศในภูมิภาคที่เศรษฐกิจมีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมัน และจีน โดยแนะนำ“กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้" , “กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้" และ“กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้" รวมถึงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นโลกในเซกเตอร์ที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ หุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์ โดยแนะนำ “กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส" ส่วนนักลงทุนที่ยังสนใจหุ้นไทย แนะนำให้เลือกลงทุนแบบ Selective โดยแนะนำ “กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้" ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก

"ธีมหลักในการออกกองทุนในช่วงครึ่งหลังของปีเรายังเน้นนโยบายการลงทุนในตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน รวมถึงเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน แต่จะมีความหลากหลายมากขึ้น เพราะจะมีทั้งกองทุนที่เป็นกองทุนเปิดที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการ กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่กำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างชัดเจน รวมไปถึงกองทุนประหยัดภาษีอย่าง RMF มาช่วยตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน และมั่นใจว่ากองทุนของ บลจ.ทิสโก้ จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนดังเช่นที่ผ่านมา เพราะผลงานการบริหารกองทุนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนในตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี"นายสาห์รัชกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ