(เพิ่มเติม) ITD ใช้งบ 1.7 พันล้านเหรียญฯพัฒนาทวายระยะแรก,เล็งประมูลงาน 1 ล้านลบ.ช่วงที่เหลือปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 7, 2015 18:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD) และคู่สัญญากลุ่มธุรกิจร่วมทุนภายใต้บริษัทที่จดทะเบียนในประเทศเมียนมาร์ได้ลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการทวายระยะแรกกับคณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รวมพื้นที่ 27 ตารางกิโลเมตร และบริษัทยังได้รับสิทธิในการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมต่างหากอีก 8 ตารางกิโลเมตร รวมเป็นพื้นที่ขายประมาณ 16,000 ไร่ โดยใช้เวลาพัฒนาทั้งหมด 8 ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าจองและสามารถใช้งานในพื้นที่ภายในปลายปี 59

พร้อมเตรียมข้าประมูลงานเพิ่มอีกราว 1 ล้านล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากปัจจุบันที่มีงานในมือ(Backlog) แล้ว 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปี ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้ในปีนี้สูงกว่าปีก่อนที่มี 4.9 หมื่นล้านบาท และในปี 59 คาดว่ารายได้รวมจะแตะ 7-8 หมื่นล้านบาท

นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการ ITD กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายจะพัฒนาพื้นที่เพื่อขายสำหรับโครงการทวายในระยะแรก จำนวน 3 พันไร่ ภายในปลายปี 59 ถึงต้นปี 60 ซึ่งจะทำให้รับรู้รายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท จากราคาขายที่ดิน 3 ล้านบาท/ไร่ โดยปัจจุบันมีลูกค้าสนใจแล้ว 700 ไร่ ซึ่งหากการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆแล้วเสร็จก็สามารถเริ่มทยอยโอนให้กับลูกค้าได้เลย

กลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจอยู่ในธุรกิจส่งออก, โรงงานให้เช่า, สิ่งทอ, ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการของไทย และมีความมั่นใจว่าจะขายพื้นที่ทั้งหมดในระยะแรก 1.6 หมื่นไร่ภายในเวลา 5 ปี

สำหรับโครงการที่ได้รับสัมปทานในการพัฒนาโครงการทวายระยะแรก ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมระยะแรกและถนน 2 ช่องทาง เชื่อมต่อโครงการทวาย สู่ชายแดนประเทศไทย ณ บ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ,ท่าเรือ , เขตที่พักอาศัย ,อ่างเก็บน้ำ ,โรงไฟฟ้าระยะแรก และระบบโทรคมนาคมผ่านสาย โดยสัญญาดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับของ Myanmar Special Economic Zone Law ซึ่งมีระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี และสามารถขยายระยะเวลาได้อีก 25 ปี โดยระยะเวลาการพัฒนาโครงการจะแบ่งเป็นช่วงเวลาทั้งหมด 4 ช่วง

โครงการหลักจะเป็นการสร้างถนน 2 ช่องทาง ระยะทาง 140 กิโลเมตร รัฐบาลเมียนมาร์ให้เงินกู้ 4.5 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเกือบ 0% มีระยะเวลา 30 ปี ขณะที่โครงการคลังก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG Terminal) ขนาด 6 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะได้ข้อสรุปสัญญาสัมปทานในไม่ช้านี้ แต่เบื้องต้นทางบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) และธนาคารโลกได้ให้เงินกู้แล้ว โครงการมีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง มีบมจ.ปตท.(PTT) และกลุ่มเชลล์เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก

ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าจะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังการผลิต 450 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทาง IFC สนใจที่จะปล่อยกู้ในโครงการดังกล่าว ขณะที่ในส่วนของเขตที่พักอาศัยนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะรองรับแรงงานได้ 3 แสนคน

"โครงการทั้งหมดเกิน 50% finance เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือจะคุยกับแบงก์ให้ครบ ซึ่งตามข้อกำหนดจะต้องมีการ confirm กับรัฐบาลพม่าใน 90 วันทุกโครงการทั้งในส่วนของผู้ร่วมทุนและอื่นๆ นับจากวันที่เซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 5 สิงหาฯที่ผ่านมา"นายเปรมชัย กล่าว

นายเปรมชัย กล่าวว่า สำหรับโครงการทวายเต็มรูปแบบจะเปิดประมูลในอีก 3-4 ปีข้างหน้า มูลค่าประมาณ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะมีประมาณ 6-7 สัญญาที่จะออกมาประมูล และคาดว่าทางกลุ่มญีปุ่นจะเข้ามาร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย

"โครงการทวายในปัจจุบันไม่มีอุปสรรคอะไรแล้ว ตอนแรกที่เป็นห่วงเรื่องเงินก็ไม่น่าห่วงแล้ว เพราะมีแต่คนจะให้กู้ ตอนนี้เหลือแค่การขาย ซึ่งก็มีลูกค้าสนใจอยู่แล้วถึง 700 ไร่แรก และมั่นใจว่าปลายปี 59 จะขายได้ 3 พันไร่"นายเปรมชัย กล่าว

นายเปรมชัย กล่าวอีกว่า บริษัทยังคาดหวังว่าจะได้งานก่อสร้างอื่นๆในโครงการทวายตามมาด้วย โดยเฉพาะงานก่อสร้างของลูกค้าที่เข้ามาซื้อพื้นที่ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีงานเข้ามาต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนประมูลงานอื่นๆต่อเนื่องด้วย โดยจากนี้จนถึงสิ้นปีคาดว่าจะเข้ายื่นประมูลงานมูลค่าราว 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น งานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟน.) มูลค่า 1.2-1.5 แสนล้านบาท ,โครงการรถไฟทางคู่ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท ,รถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 6-7 หมื่นล้านบาท , รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปลายปีนี ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ,โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท ,โครงการรถไฟไทย-จีน มูลค่าราว 4 แสนล้านบาท รวมถึงยังมีงานประมูลของภาคเอกชนเข้ามาด้วย

ขณะที่ปัจจุบัน ITD มีงานในมือ(backlog)แล้ว 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 3 ปี คาดว่าในปีนี้จะรับรู้รายได้ราว 40% ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้ในปี 58 สูงกว่า 4.9 หมื่นล้านบาทในปี 57 ขณะที่บริษัทยังได้รับงานเพิ่มอีกจะทำให้ปี 59 รายได้แตะระดับ 7-8 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสสูงไปถึง 1 แสนล้านบาทได้ อีกทั้งในปีหน้าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการทวาย หากมีการโอนที่ดินครบ 3 พันไร่ก็จะมีรายได้เข้ามาราว 1 หมื่นล้านบาทช่วงปลายปี 59 ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ