TSTH มั่นใจงวดปี 58/59 พลิกกำไรหลังบริหารต้นทุนดี แม้ยอดขายยากถึงเป้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 20, 2015 15:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) กล่าวว่า บริษัทฯมั่นใจผลประกอบการในงวดบัญชีปี 58/59 (เม.ย.58-มี.ค.59) จะพลิกกำไรสุทธิได้แน่นอน จากงวดปี 57/58 ที่ขาดทุนสุทธิ 610 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 1 ปีนี้ (เม.ย.-มิ.ย.58) ทำกำไรสุทธิได้แล้ว 11 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2 ก็มั่นใจว่าจะรักษาให้เป็นกำไรสุทธิได้จากการควบคุมต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และเน้นขายสินค้ามูลค่าเพิ่ม (value add) ให้มากขึ้น ซึ่งจะผลักดันยอดขายสินค้ามูลค่าเพิ่มให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป ประกอบกับการเน้นการให้บริการหลังการขายเหนือคู่แข่งก็เชื่อว่าจะทำให้เป็นทางเลือกแรกๆของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปริมาณขายเหล็กในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1.25 ล้านตัน สูงกว่าปีก่อนกว่า 10% นั้นยอมรับว่าไม่ง่ายที่จะทำได้ตามเป้าเพราะไตรมาส 1 ปีนี้ขายได้ 2.7 แสนตัน ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนราว 10% เนื่องจากการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐล่าช้ากว่าแผน และความต้องการใช้เหล็กในประเทศก็เติบโตได้เพียง 1-2% จากเดิมคาดโต 4-5% แต่ปีนี้บริษัทคาดว่าจะส่งออกมากขึ้นจากการเตรียมส่งสินค้าเหล็กเส้นให้กับโครงการเขื่อนไชยะบุรี ในลาว ประมาณ 3 หมื่นตัน เริ่มส.ค.-ธ.ค.58 นี้ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนส่งออกปีนี้เพิ่มเป็น 11-12% จากปีก่อน 7% ขณะเดียวกันบริษัทก็พยายายามขยายตลาดส่งออกด้วย โดยอยู่ระหว่างกำลังพิจารณาที่จะส่งออกไปนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เพิ่มเติม จากปัจจุบันตลาดส่งออก ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า อินโดนีเซีย อินเดีย

"ไตรมาส 1 ปีนี้ยอดขายเหลือ 4,415 ล้านบาท ลดลง 25-30% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลงราว 10% และราคาขายเหล็กลดลง ที่กระทบมากคือราคาขายลดลง เพราะปริมาณขายลดลงน้อยกว่า 10% ขณะที่ยอดขายลดลง 25-30% เพราะราคาขายลดลงมาก ซึ่งเดิมตั้งเป้าทั้งปีขาย 1.25 ล้านตัน คงไม่ง่าย เพราะรัฐบาลก็ชะลอ ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ก็เห็นแล้วว่ารัฐชะลอ ประกอบกับการบริโภคในประเทศคาดว่าจะโตเหลือแค่ 1-2%"นายราจีฟ กล่าว
นายราจีฟ กล่าวว่า การส่งออกสินค้าเหล็กจากจีนที่รุนแรงมากขึ้น และการลดค่าเงินหยวนได้สร้างความกังวลต่อผู้ผลิตเหล็ก ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาเหล็กในประเทศและภูมิภาค
"ราคาเหล็กในประเทศยังได้รับผลกระทบจากการที่เงินหยวนอ่อนค่า ทำให้จีนส่งออกมากขึ้น ส่งผลต่อความกังวลของผู้ผลิตเหล็กในภูมิภาคและทั่วโลก ซึ่งก็จะทำให้ราคาขายไม่ดีต่อไป"นายราจีฟ กล่าว

นายราจีฟ กล่าวอีกว่า สำหรับในปีนี้มองว่ายังไม่มีแรงส่งให้ธุรกิจเหล็กดีขึ้น ทำให้บริษัทต้องจัดการภายในองค์กร เพื่อที่จะลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ประกอบกับมาร์จินที่อ่อนแอก็ต้องบริหารจัดการเงินสดให้ดี โดยไม่ใช้เงินมากในบางรายการที่ไม่จำเป็น เพื่อให้มีกำไรสุทธิ ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ก็สามารถทำกำไรได้จากการที่ลดต้นทุน ผลักดันสินค้ามูลค่าเพิ่ม ส่วนขาดทุนสะสมที่มีราว 3,000 ล้านบาทนั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

"เชื่อมั่นว่าไตรมาส 1 ทำได้ ไตรมาส 2 ก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ทั้งลดและควบคุมต้นทุนผลิต ลดค่าใช้จ่ายบริหารต่างๆ มั่นใจเรื่อง cost ที่เราคอนโทรลซึ่งทำได้ดีมาก จึงมั่นใจทั้งปีก็น่าจะเป็นกำไรสุทธิ "นายราจีฟ กล่าว

นายราจีฟ กล่าวว่า อยากจะฝากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ขอให้ผลักดันโครงการอินฟราสตรัคเจอร์ โดยให้เร่งรัดให้ดำเนินการตามแผนงานก็จะทำให้มีความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน รวมถึงให้ควบคุมดูแลไม่ให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในตลาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ