PTG รุกหนักขยายธุรกิจพลังงานทดแทนโรงไฟฟ้า-เอทานอลเพิ่มรายได้ non-oil

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 2, 2015 15:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าต่างๆ ได้แก่ การเจรจาเข้าถือหุ้น หรือซื้อโรงไฟฟ้าไบโอแมส 2 โรง กำลังการผลิต 20 MW, ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ กำลังการผลิต 5 MW ที่จะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 18-20 เดือน มีมูลค่าการลงทุนราว 600 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะจะสรุปภายในเดือนก.ย. นี้ โดยหากได้ข้อสรุป และเข้าซื้อกิจการแล้วก็จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี่

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาโรงไฟฟ้าไบโอแมสอีก 2-3 โรง กำลังการผลิต 20-30 MW ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 59

ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนในโครงการผลิตเอทานอลกับผู้ประกอบการมันสำปะหลังและอ้อย 3-4 ราย มูลค่าการลงทุนราว 2 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 4/58 นี้ ซึ่งบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 70%

นายพิทักษ์ กล่าวว่า รายได้ปีนี้จะเติบโตราว 6% จาก 5.51 หมื่นล้านบาทในปีก่อน เป็นผลจากปริมาณขายน้ำมันที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% หรือไม่ต่ำกว่า 2.2 พันล้านลิตร หลังเดินหน้าขยายสถานีบริการน้ำมันพีทีอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 200 แห่ง/ปี ซึ่งจะทำให้สิ้นปีนี้มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 1,200 แห่ง ขระที่เป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโต 30-40% จากปีก่อน เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น เห็นได้จากปริมาณขายน้ำมันในช่วงครึ่งปีแรกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ปีนี้ปริมาณการขายน้ำมันเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายสถานีบริการน้ำมัน และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงช่วยให้คนหันมาเติมน้ำมันแทน LPG มากขึ้น ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังทั้งในแง่รายได้ และ กำไร จะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเราจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะสถานีบริการของเราอยู่ติดกับชุมชน และเรายังสามารถรักษาค่าการตลาดไว้ที่ 1.5-1.6 บาท/ลิตรได้ด้วย"นายพิทักษ์ กล่าว

นายพิทักษ์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท โดยรายได้จากการขายปลีกน้ำมันยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงกว่า 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังการขยายสถานีบริการน้ำมันให้ครอบคลุมมากขึ้น และการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในสถานีบริการเดิม ทำให้ปริมาณการจำหน่ายโดยรวม และส่วนแบ่งในตลาดยังคงขยายตัวได้

รวมถึงบริษัทยังจะบริหารจัดการสต็อกน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถระบาย และหมุนเวียนสต็อกน้ำมันด้วยเวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้น อีกทั้งยังมีแผนการลดปริมาณสำรองน้ำมันตามกฎหมายจาก 6% เป็น 1% ในเดือนพ.ย.ปีนี้ ทำให้ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน

นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-Oil เพิ่มเป็น 10-15% ในปี 61 จากปีนี้ที่ไม่ถึงระดับ 1 % หลังเตรียมขยายสาขา MAX MART ให้เป็น 50 สาขาในปีนี้ และปี 59 เตรียมขยายอีก 50 สาขา ขณะที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ก็จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องด้วย รวมถึงยังมีแผนรุกธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยวางเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะระดับ 100 MW ภายในปี 60 จากปัจจุบันที่ยังไม่มีโครงการผลิตไฟฟ้าเลย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ