โบรกฯมองหุ้นไทยช่วงที่เหลือผันผวน มีโอกาสทดสอบจุดต่ำสุดอีกใน Q4 แต่มองไม่หลุด 1,300

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 16, 2015 18:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์ฯมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงผันผวนในกรอบ 1,425-1,300 จุด โดยต้องระมัดระวังในช่วงเดือนต.ค.ที่จะมีการประกาศงบการเงินไตรมาส 3/58 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) โดยมีโอกาสลงไปทดสอบจุดต่ำสุดอีกครั้งในไตรมาส 4/58 และจะเป็นจุดต่ำครั้งสุดท้าย เพราะจะมีการ Panic Sell รับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าจะไม่หลุดระดับ 1,300 จุดอย่างแน่นอน

นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) กล่าวในงานสัมมนา "IAA 2015 Investment Analysts Conference หาหุ้นเหมาะ เจาะลึกพื้นฐาน ฝ่าแรงเสียดทาน"ว่า ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้เป็นช่วงที่มีปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกอย่างมาก โดยเฉพาะปัจจัยที่มากจากสหรัฐฯและจีน ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้จีนได้ปรับค่าเงินหยวนอ่อนค่าลดลงไปอย่างมาก ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนต่างๆ ซึ่งมีการมองว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะมีปัญหาหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มการชะลอตัวจากเดิมเติบโต 12% ลดลงมาเหลือโต 7% และมีแนวโน้มที่จะลดลงมาเติบโตเพียง 5.9% ในปี 59

แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าการที่จีนลดค่าเงินหยวนลงนั้นเป็นการที่จีนต้องการประคองเศรษฐกิจของตนเองและสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเข้ามาแข่งขันกับอเมริกา ซึ่งการลดค่าเงินหยวนของจีนส่งผลให้ค่าเงินอื่นๆในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลงตามกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางฝั่งอเมริกานั้นมีประเด็นที่มีผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก คือ การพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากแนวโน้มของเศรษฐกิจของสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมองแนวโน้มหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นในเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงจะทำให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงไปอีก ทั้งนี้ปัจจัยการลดค่าเงินหยวนจากจีนนั้นเป็นปัจจัยที่เฟดจะต้องพิจารณา เนื่องจากหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว จะมีผลทำให้เสียเปรียบการแข่งขันทางด้านการค้ากับจีน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเฟดจะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในท้ายที่สุด

สำหรับภาพของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนั้นถือว่ามีการปรับตัวลงมามากแล้ว เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศ และปัจจัยในประเทศที่ยังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งปัจจุบันมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือ เงินฝืด ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ ซึ่งจะทำให้ความสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลง ทั้งนี้การแนะนำในการลงทุนหุ้น ให้มองหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐและงานประมูลต่างๆที่จะออกมา อย่างเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหากภาครัฐมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างชัดเจน และออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับประโยชน์ อีกทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังมีราคาที่ลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้มีความสนใจในการลงทุน

ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มี P/E ต่ำ มีอัพไซด์สูง และมี ROE สูง อย่างเช่น SPALI, AP และ SC ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมี Backlog รองรับรายได้ในอนาคต ประกอบกับหุ้นดังกล่าวรวมถึงหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายๆตัวมีราคาที่ตกลงมาอย่างมาก ทำให้คาดว่าจากการสะสม Backlog ไว้ จะทำให้อนาคตมีการเติบโตอย่างมาก และทำให้ราคาหุ้นสามารถกลับขึ้นมาฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ยังมีหุ้น BANPU ที่มีความน่าสนใจและจะได้รับประโยชน์จากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ภาครัฐอยู่ระหว่างการเร่งผลักดัน ขณะที่ราคาตลาดโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว รวมทั้งมีธุรกิจโรงไฟฟ้ามากกว่า 1,000 เมกกะวัตต์ สามารถสร้างกำไรได้ในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าจะกลับฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน

ด้านนายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กรุงศรี (KSS) กล่าวว่า การเติบโตของตลาดหุ้นไทยนั้นจะต้องมีการพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลนัยสำคัญ แม้ว่าปัจจัยภายนอกจะยังคงกดดัน ซึ่งในปัจจุบันแม้ว่าการที่จีนจะปล่อยค่าเงินหยวนให้มีการลอยตัว และส่งผลให้ค่าเงินสกุลต่างๆในเอเชียลดลงนั้น มองว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยกับการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว

นอกจากนี้การที่ค่าเงินอ่อนค่าจะยังทำให้การส่งออกของไทยดีขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าของไทยมีราคาถูก แต่อย่างไรก็ตามการที่จะฟื้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีนั้นต้องมาจาการบริโภคในประเทศ ซึ่งยังคงต้องหวังเพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น

ทั้งนี้มองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงผันผวนในกรอบ 1,425-1,300 จุด โดยต้องระมัดระวังในช่วงเดือนตุลาคมที่จะมีการประกาศงบการเงินบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/58 ซึ่งหุ้นกลุ่มหลัก เช่น พลังงานจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐกดดันให้เงินทุนไหลออกในช่วงสั้นๆ ได้ โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูง ได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ มีสินค้านวัตกรรม ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน และมีแนวโน้มการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ เลือก Top pick ได้แก่ ANAN, SAWAD และ BDMS ที่มีแผนขยายการลงทุนและการกระจายไปทั่วประเทศ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และมีการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถปิดความเสี่ยงได้

นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี (AECS) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) มีโอกาสลงไปทดสอบจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 1,280 จุด ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยมีปัจจัยลบจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/2558 ที่คาดว่าจะต่ำสุดของปีนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันทำให้มีผลขาดทุนจากสต็อกจำนวนมาก รวมถึงจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจีน เพราะอาจจะมีการปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 59 เหลือเติบโตไม่ถึง 6% ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยประเมินกรอบดัชนีสูงสุดปีนี้ที่ 1,500 จุด เป็นการปรับลดจากเดิมประเมินไว้ที่ 1,560-1,360 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้นให้แนะนำทะยอยสะสมหุ้นช่วงตลาดปรับฐาน ให้เลือกหุ้นสำหรับปี 59 โดยใช้ปัจจัยดังต่อไปนี้ 1.เกี่ยวข้องกับงานสัปทานหรืองานประมูลจากภาครัฐ 2.หุ้นที่พลิกจากขาดทุนเป็นกำไรในปีนี้และมีโมเดลธุรกิจใหม่ๆ 3.หุ้นที่มีรายได้มั่นคงไม่ผันผวนตามภาวะต่างๆ หุ้นเด่นได้แก่ BTS, FORTH และ KAMART

นายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บล.ไทยพาณิชย์ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้เหลือ 1,400-1,450 จุด จากเดิมตั้งไว้ที่ 1,800 จุด เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศและความล่าช้าของโครงการภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเศรษฐกิจจีน-ยุโรป รวมถึงเหตุระเบิดย่านราชประสงค์ กดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทำให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นไทย

ขณะเดียวกันมองว่าในไตรมาส 4/58 มีโอกาสลงไปทดสอบจุดต่ำสุดอีกครั้งและจะเป็นจุดต่ำครั้งสุดท้าย เพราะจะมีการ Panic Sell รับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าจะไม่หลุดระดับ 1,300 จุดอย่างแน่นอน เพราะประเด็นดังกล่าวจะส่งผลแค่สั้นๆ ราว 1-2 วันเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนรับข่าวดังกล่าวมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ขณะเดียวกันจะมีโครงการลงทุนของภาครัฐที่จะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบตั้งแต่ปลายปีนี้เข้ามาช่วงพยุง โดยเฉพาะโครงการสินเชื่อกองทุนหมู่บ้าน 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคจากฐานรากของประชาชน

ทั้งนี้ประเมินว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ 2.2 ล้านล้านบาท จะสร้างวงจรขาขึ้นครั้งใหญ่ (Super Cycle) ให้กับเศรษฐกิจและหุ้นไทยอีกครั้ง และจะกินระยะเวลาได้ถึง 7 ปี ตามประมาณการระยะเวลาการก่อสร้าง ขณะที่ตามธรรมชาติของวงจรขาขึ้นทางเศรษฐกิจ 2 ปีแรกจะมีการอัดฉีดงบลงทุนมากที่สุด ดังนั้นในปี 59-60 หุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวโดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง สื่อสาร ธนาคารพาณิชย์ ท่องเที่ยว สายการบิน และค้าปลีก โดยมีหุ้น Top Pick ดังนี้ MINT, AAV, CENTEL, KBANK, TRUE, CPALL และ GLOBAL


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ