(เพิ่มเติม) "เทวินทร์"ลั่นนำ PTT ลุยทำ M&A ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมช่วง 3 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 1, 2015 15:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT)อย่างเป็นทางการวันแรก ประกาศเดินหน้ารุกซื้อกิจการ(M&A)ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในช่วง 3 ปีจากนี้ โดยอาศัยจังหวะที่มูลค่ากิจการดังกล่าวปรับตัวลดลง เพื่อเป็นแนวทางหลักที่จะสนับสนุนการเติบโตของกลุ่ม PTT ในอนาคต ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจในปีหน้า แผนระยะ 5 ปึ และแผนระยะ 20 ปี คาดว่าจะสรุปได้ในเดือน ธ.ค.นี้

นายเทวินทร์ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ลงมาต่ำพอสมควร ซึ่งแนวโน้มการเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของโลกจะมีผลทำให้การฟื้นตัวของราคาน้ำมันไม่เร็วเหมือนคราวที่แล้ว โดย ปตท.มองว่าราคาน้ำมันในปี 59 จะอยู่ที่ประมาณ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีนี้ 45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากนั้นจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นไปในช่วง 3-4 ปีไปที่ประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลขึ้นไป ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันไปถึงราคา 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลคงยังอีกยาว การวางแผนธุรกิจจึงจะไม่ตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

การเติบโตของ ปตท.จากนี้ไปยังอยู่ในธุรกิจเดิม โดยธุรกิจต้นน้ำ คือ การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปัจจุบันก็มีปริมาณสำรองอยู่มากพอควร แต่ยังต้องใช้เวลาพัฒนาขึ้นมา 3-4 ปี ขณะที่เห็นว่าบริษัทมีโอกาสเข้าซื้อกิจการธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันปรับตัวลงมากทำให้เป็นโอกาสเข้าซื้อภายใต้ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) เพื่อช่วยผลักดันการเติบโตในช่วง 3 ปีนี้

ส่วนธุรกิจถ่านหินคงต้องทบทวนว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เพราะราคาถ่านหินปรับตัวลงมากเช่นกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้โอกาสให้การซื้อเหมืองเพื่อขยายธุรกิจมีมากด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ม.ค.59

"การเติบโตในช่วง 3-4 ปีนี้ได้จากการลงทุนซื้อกิจการ ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันลงมาขนาดนี้ ก็ยังมีธุรกิจบริษัทที่มีปัญหาพอสมควร ก็จะมีโอกาสทางธุรกิจของ Upstream ซึ่งการเข้าซื้อกิจการบอกไม่ได้ว่าเติบโตเท่าไร ถ้าพูดถึงการเติบโตกรณี best case ธุรกิจ Upstreame จะเติบโต 3-4 ปี" นายเทวินทร์ กล่าว

ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 2 แสนล้านบาท รองรับการลงทุนตามแผนเดิมที่มีอยู่แล้ว พร้อมหาโอกาสลงทุนใหม่

ขณะที่ธุรกิจกลางน้ำ ปตท.จะเติบโตจากคลัง LNG จะมีเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ที่จะมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องจัดหา LNG เข้ามาทดแทนก๊าซธรรมขาติในประเทศ รวมทั้ง ปตท.อาจจะนำโมเดลในประเทศไปลงทุนในต่างประเทศ ทั้งการสร้างท่อก๊าซ และโรงแยกก๊าซ ซึ่งมีโอกาสไปประยุกต์ใช้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ ปตท.มีโอกาสเติบโตธุรกิจก๊าซธรรมชาติในช่วง 3-4 ปีนี้ ขณะเดียวกันภาระในประเทศที่เคยแรกรับไว้ทั้งก๊าซ LPG และ NGV ลดลง หลังจากธุรกิจเหล่านี้ดำเนินไปตามกลไกตลาด ซึ่งภาครัฐจะลดการอุดหนุนลง และเปิดให้เอกชนรายอื่นเข้ามาดำเนินสถานีบริการก๊าซ NGV โดย ปตท.จะเป็นผู้ซัพพลายก๊าซให้

ด้านธุรกิจปลายน้ำ ทั้งธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น แต่ละบริษัทได้มีการจัดทำแนวทางการดำเนินธุรกิจตนเอง โดยเฉพาะ บมจ.พีทีทีโกลบอลเคมิคอล (PTTGC) ซึ่งต่อไปจะไม่ได้เปรียบจากวัตถุดิบในประเทศ ก็มุ่งไปหาวัตถุดิบที่ถูกลง เช่น ในสหรัฐ ที่มี shale oil และ shale gas ก็มีโอกาสจะลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น บมจ.ไทยออยล์(TOP) ก็มีแผนปรับปรุงโรงกลั่น รวมทั้ง บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) มีแผนจะลงทุนขนาดใหญ่ภายใต้โครงการฟีนิกซ์

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ปตท.อยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจใหม่ในปีหน้า แผนระยะ 5 ปี และแผนระยะ 20 ปี ให้แล้วเสร็จในเดือนธ.ค.นี้ โดยจะอยู่ภายใต้ 3 สมมติฐาน คือ สมมติฐานแรก ราคาน้ำมันต่ำสุดหรือประมาณกว่า 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สมมติฐานที่ 2 กรณีราคาน้ำมันสูงหรือราคา 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลขึ้นไป และสมมติฐานที่ 3 กรณี Best case ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิมที่มีแผนธุรกิจบนสมมติฐานเดียว ทำให้การปรับแผนทำได้ล่าช้า

"ก่อนหน้านี้เราใช้ Best Case ในการทำแผนธุรกิจ แต่ตอนนี้ถ้าทำให้แบบนี้มีความเสี่ยงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นปีนี้เราตั้งใจทำแผนธุรกิจบน 3 scenario (สมมติฐาน)มทั้ง Best case, High case , Low case เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาด้วย"นายเทวินทร์ กล่าว

นายเทวินทร์ คาดว่า รายได้รวมในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.87 ล้านล้านบาท เนื่องจากรับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมากกว่า 50% จากปีก่อนที่มีราคาน้ำมันเฉลี่ย 80-90 เหรียญ/บาร์เรล โดยปีนี้ราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลง นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลกระทบจากการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะทำให้รายได้ซ้ำซ้อนหายไป ซึ่งคาดว่างบรวมของบริษัทจะรับผลกระทบไม่เกิน 10% จากเดิมงบรวม ปตท.จะรับรู้แต่กำไรของบริษัทในเครือ

ในด้านกำไร ธุรกิจต้นน้ำ อาทิ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งถ่านหิน จะปรับตัวลดลงตามาราคาน้ำมัน นอกจากนี้ หากเงินบาทอ่อนก็จะเกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะธุรกิจใช้เงินเหรียญสหรัฐเป็นหลัก ส่วนธุรกิจปลายน้ำยังมีมาร์จิ้นในระดับที่ดี ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

"กำไรจากผลประกอบการ มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่แน่นอน upstream ปีนี้จะลดลงมาก แต่ส่วนอื่นกลางน้ำปลายน้ำจะมีมาร์จิ้นขึ้นลงตามราคาน้ำมันทำให้ไม่กระทบเท่าไร ดังนั้น ฐานกำไรที่ลงมาจะมาจาก E&P และ ถ่านหิน แต่ว่าต่อไปฐานเติบโตก็จะมาจากธุรกิจนี้" นายเทวินทร์ กล่าว

อนึ่ง วันนี้ นายเทวินทร์ ได้เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เป็นวันแรก โดยระบุวิสัยทัศน์ 4 นโยบาย เพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อนำพา PTT ให้เป็นองค์กรพลังงานของชาติที่ยั่งยืนของไทย

นโยบาย เพียงพอ จะเน้นจัดหาจากการสำรวจ พัฒนา ผลิต และนำเข้าตอบสนองความต้องการใช้ของประเทศ อาทิ การจัดหาแหล่งพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะยาว เป็นต้น, ทั่วถึง จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ระบบท่อก๊าซ คลังก๊าซ คลังน้ำมัน สถานีบริการน้ำมัน ทั่วประเทศ อาทิ โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 5 ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างภาคตะวันออกไปยังภาคตะวันตก โครงการลงทุนก่อสร้างคลังสำรองก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) การลงทุนขยายเส้นทางท่อขนส่งน้ำมัน ไปยังภูมิภาค,

เป็นธรรม คือ ดูแลต้นทุนการจัดหาน้ำมันและก๊าซให้เป็นไปตามกลไกตลาด ที่สมดุลสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ, ยั่งยืน โดยวางแผนการจัดหาในระยะยาว ลงทุนในแหล่งปิโตรเลียม และสร้างเครือข่ายการซื้อขายทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้ง ส่งเสริมเรื่องเพิ่มมูลค่าจากทรัพยากร โดยการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่องตลอดสายโซ่ผลิตภัณฑ์ อาทิ การขยายการลงทุนออกไปต่างประเทศจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งสู่ระดับสากล

"กู้ศรัทธา ปตท.ให้เป็นองค์กรแห่งความภูมิใจ เน้นการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย ใส่ใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล" นายเทวินทร์ กล่าว

แท็ก (PTT)   ปตท.   ลุย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ