(เพิ่มเติม) "ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์"คาดเสนอขาย IPO 168 ล้านหุ้น เข้า mai ปลายปี 58

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 5, 2015 13:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์(TACC) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO)จำนวน 168 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) ได้ภายในปลายปี 58 โดยมีบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TACC เปิดเผยว่า บริษัทจจัดให้มีการนำเสนอข้อมูลแก้นักลงทุน(โรดโชว์)ใน จ.สงขลา ขอนแก่น เชียงใหม่ และกรุงเทพ ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน พ.ย. ซึ่งปัจจุบันได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แล้ว คาดว่าจะได้รับการอนุมัติและเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้

ทั้งนี้ TACC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดหา ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ได้แก่ เครื่องดื่มในโถกดที่ร่วมพัฒนากับ บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL)เพื่อวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ “7-Eleven" ที่มีสาขากระจายทั่วประเทศ เช่น กาแฟเย็น ซึ่งเป็นตราสินค้าของ 7-Eleven และชานม ภายใต้ตราสินค้า“เชนย่า"(Zenya) ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทฯ อีกทั้งยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตามฤดูกาล เช่น กาแฟลาเต้ ชากลิ่นจับเลี้ยง ชาเขียวมัทฉะ ชาเขียวนมกลิ่นแคนตาลูป โอเลี้ยง และกาแฟสูตรเย็นเจ ให้กับ 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดช่วงกลางปี 57 ได้มีการพัฒนาเครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผงพร้อมชง เพื่อจำหน่ายให้กับร้าน All Cafe’ ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มชงสดที่ตั้งอยู่ในร้าน 7-Eleven ที่ได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ธุรกิจของ TACC แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ 1.ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทร่วมพัฒนากับพันธมิตรทางธุรกิจ (Business to Business : B2B) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในโถกดที่เป็นรสชาติหลัก ได้แก่ กาแฟเย็น ซึ่งเป็นตราสินค้าของ 7-Eleven และชานม ภายใต้ตราสินค้า "เชนย่า" ของบริษัท, ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผงพร้อมชง และผลิตภัณฑ์ที่บริษัทร่วมพัฒนาเพื่อจำหน่ายเป็นครั้งคราวหรือตามฤดูกาล 2. ผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท (Business to Customer : B2C) ได้แก่ ชาเขียวพร้อมดื่ม ตรา "เชนย่า",กาแฟปรุงสำเร็จ ตรา "วีสลิม" , เครื่องดื่มปรุงสำเร็จชนิดผง ตรา "ชาช่า", "ตรา ณ อรุณ" และตรา"สวัสดี" ซึ่งจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร TACC กล่าวว่า ความสำเร็จของ TACC เกิดจากการที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างทั้งรูปแบบและรสชาติ และเราไม่หยุดที่จะคิดค้นหรือพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับบริษัทในอนาคต จึงตัดสินใจที่จะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai

TACC จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 168 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชนจำนวน 159 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 9 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจด้านเครื่องกดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติแบบร้อน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคที่เติบโตขึ้นในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มแบบอัตโนมัติแบบร้อนให้ได้ประมาณ 1,000 ตู้ภายในปี 60 นอกจากนี้ จะใช้เงินส่วนที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และจะใช้ขยายตลาด โดยเน้นตลาดต่างประเทศเป็นหลัก

นายชัชชวี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้บริษัทมีรายได้ 498 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 38.95 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,007.20 ล้านบาท และกำไร 51.84 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ 10% ไปยังตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ พม่า และลาว ส่วนจีนเริ่มมีออเดอร์เข้ามาบ้างแล้ว สำหรับรายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายสินค้าในประเทศ

"จุดแข็งของเรา คือเราเป็นพันธมิตร กับทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวเรา การที่เราได้แต่งงานกะเซเว่น อีเลฟเว่น สร้างความมั่นใจด้วยกัน และเรามั่นใจว่าเรามีความเชี่ยวชาญ ส่งสินค้าตรงเวลา ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ"นายชัชชวี กล่าว

ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 7% ใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่ทำได้ 7.81% สูงกว่าปีก่อนที่ 5.5% พร้อมกันนี้จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 30% จากครึ่งปีแรกอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30.04% สูงกว่าปีก่อนที่ 28.20% เนื่องจากมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต จากการพัฒนาและวิจัยสินค้าอย่างต่อเนื่อง และมีการใช้เงินในการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับปัจจุบันโรงงานของบริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 80-90% และสามารถขยับเพิ่มได้ถึง 120% จึงจะตัดสินใจขยายกำลังการผลิต จากอดีตใช้การผลิตแบบ OEM เพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังใช้ OEM อยู่ราว 80%

บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ จากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทในแต่ละปี ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ