YLG เตือนราคาทองคำโลก ต.ค.พุ่งระยะสั้น แนะเทรดในกรอบ 1,120-1,185 ดอลล์

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 7, 2015 14:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาทองคำตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการปรับตัวลดลง 19.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 1.72% โดยเหวี่ยงตัวในระดับ 57.95ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 5.11% จากราคาปิดในเดือนก่อนหน้าที่ 1,134.10 .ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ตลอดเดือนกันยายนราคาทองคำมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยจุดต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 1,102 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,156 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้น 100 บาทต่อบาททองคำ หรือ 0.52% โดยเหวี่ยงตัวในระดับ 850 บาทต่อบาททองคำ หรือ 4.53.%จากราคาปิดในเดือนก่อนหน้าที่ 19,250 บาทต่อบาททองคำ

“ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งในที่สุดผลการประชุมเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0 -0.25 % เช่นเดิมทำให้ตลาดลดคลายความกังวลไปได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้แล้วยังมีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าทองคำยังคงมีความจำเป็นอย่างมากในระบบการเงินโลก คือมีหลายประเทศยังเดินหน้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง อาทิ รัสเซีย และจีน ที่ยังคงเพิ่มสถานะการถือครองทองคำ จีนมีทองคำเพิ่มเป็นอันดับ 5 รัสเซียตามมาติดๆอันดับ 6" นางพวรรณ์ กล่าว

นางพวรรณ์ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเดือนตุลาคมนี้ วายแอลจีแนะนำให้ซื้อขายภายในกรอบ 1,120-1,185 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 19,300-19,750 บาทต่อบาททองคำ เนื่องจากขณะนี้ดอลลาร์เกิดการอ่อนค่าลงอย่างมาก ประกอบกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนหันเข้ามาถือครองทองคำมากขึ้นในฐานะ Safe Haven หรือ สินทรัพย์ปลอดภัย ระยะชั่วคราว โดยมองว่าเดือนนี้ทองคำน่าจะเป็นขาขึ้นระยะสั้นไปสักพัก จนกระทั่งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะมีความชัดเจน ทั้งนี้แนวรับในช่วงนี้จะอยู่บริเวณ 1,120-1,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 19,300 –19,400 บาทต่อบาททองคำ ส่วนแนวต้านอยู่บริเวณ 1,170 -1,185 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 19,650 -19,750 บาทต่อบาททองคำ

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือการประชุมเฟดในวันที่ 27- 28 ตุลาคม 2558 นี้ ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่าเฟดน่าจะส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยออกมาบ้าง แต่ด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงนี้ อาทิ การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ออกมาค่อนข้างต่ำ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ได้ลดลงมากนัก ประกอบกับสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่มีท่าทีดีขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นกว่าทุก ๆ ครั้ง เพราะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมีผลกระทบวงกว้างค่อนข้างสูง ในขณะที่หลายๆ ประเทศแข่งขันในเรื่องของการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการส่งออก แต่หากสหรัฐฯ กลับมาขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้ ผลกระทบคงต้องประเมินอย่างรอบคอบ

โดยความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดพบว่า ความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงจาก 60% มาอยู่ที่ 35.2% และหากจะมีการขึ้นดอกเบี้ย เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจากระดับ 0%-0.25% มาอยู่ที่ 0.375% ส่วนความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคม 2558 นี้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 10% หลังการจ้างงานในเดือนที่ผ่านมาชะลอกว่าที่คาดการณ์ไว้ และรายได้ครัวเรือนอยู่ในระดับทรงตัว

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่มีความสำคัญอีกคือเรื่อง เพดานหนี้ของสหรัฐฯ ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ถึงแม้จะมีการพูดคุยกันมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมก็ตาม เพราะสหรัฐฯมีเงินในกระเป๋าที่จะใช้สอยได้เพียงถึงวันที่ 11 ธันวาคมนี้เท่านั้น เนื่องจากใกล้ถึงระดับเพดานหนี้เดิมแล้ว ซึ่งหากสหรัฐฯตกลงเรื่องเพดานหนี้ไม่ได้ก็จะเป็นการผิดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ผลเสียที่ตามมาคือการเสียเครดิต อาจทำให้เกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้ต่อเนื่องไปอีกนาน เพราะวันนี้สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีเครดิตดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งปัญหาเรื่องเพดานหนี้จะโยงไปถึงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยว่าสหรัฐฯจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้จริงหรือไม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ