บลจ.แมนูไลฟ์ มั่นใจ AUMปีนี้โต 50% มาที่ 1.2 หมื่นลบ.เล็งออก 2 กอง FIF

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 7, 2015 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายต่อ อินวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ปีนี้จะเติบโต 50% มาอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 8 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมี AUM เพิ่มขึ้นมาที่ 9 พันล้านบาท โดยยังคงเน้นการออกกองทุนรวมในต่างประเทศ (FIF) ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร๊งพ์ เอเชียน สมอลแคป อิควิตี้ เอฟไอเอฟ และในช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดหุ้น หากภาวะตลาดเอื้ออำนวยจะออกกองใหม่ที่ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มอีก 2 กอง

ส่วนมุมมองต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยในสิ้นป์นี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,450 จุด ในระดับ P/E 13 เท่า โดยปัจจัยขับเคลื่อนดัชนีตลาดหุ้นไทยมาจากแผนการลงทุนของภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าจะยังมีผลไม่มากในช่วงที่เหลือของปี แต่เป็นปัจจัยที่โดดเด่นเข้าช่วยประคองเศรษฐกิจไทย ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังชะลอ นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในปีนี้และปีหน้า ขณะที่อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะบียนไนประเทศปีนี้คาดว่าจะอยู่ 13%

"เราก็หวังว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและหลังจากนี้สถานการณ์ต่างๆจะค่อยๆดีขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในส่วนของการเบิกจ่ายรัฐ ซึ่งก็ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเบิกจ่ายได้ตามเป้าไหม และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่ จะเห็นได้จาก IMF ปรับลด GDP โลกลงเหลือ 3% จากเดิม 3.3% และในปี 59 ลดมาเป็น 3.6% จาก 3.8% สะท้อนเห็นว่าศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ส่วนไทยก็โดนไปด้วย IMF ลด GDP ของเราเหลือ 2.5% ปีหน้าก็มาอยู่ที่ 3.2% ซึ่งทิศทางตลาดหุ้นไทยก็เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ"นายต่อ กล่าว

ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นในปี 59 คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,640 จุด ที่ระดับ P/E 16 เท่า ปัจจัยสนับสนุนมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐ อีกทั้งการกระจายรายได้เข้าสู่ผู้มีรายได้น้อย ทำให้การบริโภคภาคครัวเรือนขยายตัว เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบมากขึ้น และการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคการส่งออกในปีหน้าจะให้ความสำคัญลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น ทำให้การส่งออกอาจจะยังไม่ดีอยู่ แต่จะเน้นการเติบโตในประเทศเป็นหลัก ซึ่งย่งคงต้องพึ่งพานโยบายจากภาครัฐเป็นตัวผลักดัน ส่วนปัจจัยเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในปีหน้าจะไม่มีผลกระทบมากกับตลาดหุ้นมากนัก เพราะมีการรับรู้ไปเยอะแล้ว แต่ตอนนี้คนรอเพียงเวลาว่าเมื่อใดธนาคารสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าจะไม่กดดันตลาดหุ้นไทยในปีหน้า


แท็ก กองทุนรวม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ