ทิสโก้ เปิดขาย“โกลบอล สตาร์ พลัส อันเฮดจ์"17–19 พ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday November 15, 2015 17:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า เสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล สตาร์ พลัส ที่ลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศทั่วโลกแต่เป็นแบบที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) แต่เนื่องจากนักลงทุนมองว่าเฟดน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ปีนี้เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ (USD Assets) จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทาง บลจ. ทิสโก้ จึงออกกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล สตาร์ พลัส ในอีกเวอร์ชั่น ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนกลุ่มนี้ ในขณะเดียวกันก็สามารถกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการลงทุนไปในหลายๆ ภูมิภาค โดยผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่จัดสรรเงินลงทุนของกองทุนนี้ไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่มีผลประกอบการที่ดีและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์" นายสาห์รัช กล่าว

ทั้งนี้ “กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล สตาร์ พลัส อันเฮดจ์" (TISCO Global Stars Plus Fund – Unhedged: TSTAR-UH) มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วโลก ผ่านกองทุนหุ้นต่างประเทศที่บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่ บลจ. ทิสโก้คัดสรรมาแล้วว่าเป็นผู้จัดการที่ดีที่สุดของแต่ละภูมิภาค(best-in-class funds) โดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญประสบการณ์ในการลงทุน และผลงานการบริหารกองทุนในอดีตที่ดี โดยใช้แนวทางการจัดพอร์ตแบบ Active Management เพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีอ้างอิง MSCI AC Worldที่สะท้อนผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลก มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย. 58 นี้ หลังจากนั้นเปิดซื้อขายทุกวันทำการ มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท

นายสาห์รัช กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในขาฟื้นตัวจึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยในปีหน้าเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 3.4 ซึ่งดีกว่าปีนี้ สำหรับการฟื้นตัวหลักๆ จะมาจากประเทศพัฒนาแล้วนำโดยสหรัฐอเมริกาที่มีความชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวใกล้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว ส่วนประเทศอย่างญี่ปุ่นและประเทศในกลุ่มยุโรปก็ยังคงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเทียบราคาหุ้นโดยดูจากพีอี ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ยังถูกกว่าตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ลงทุนจัดสรรเงินไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดีแม้ว่าการลงทุนในต่างประเทศผู้ลงทุนอาจจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงิน แต่หากมองว่าการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ก็น่าจะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศอื่นๆ รวมทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จึงทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากการอ่อนค่าของเงินลงทุนเมื่อแปลงลับมาเป็นสกุลเงินบาทได้เช่นกัน

“ตั้งแต่ต้นปี​จน​ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยติดลบมากกว่า 7% เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศในหลายๆ ประเทศ มี performance ที่ดีกว่ามาก ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศไม่ได้เพียงแต่ช่วยกระจายความเสี่ยงแต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย"นายสาห์รัช กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ