(เพิ่มเติม) TSTH ลดปริมาณขายงวดปี 58/59 หลังดีมานด์ในประเทศไม่โตแต่มั่นใจมีกำไรแน่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 19, 2015 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทาทา สตีล(ประเทศไทย)ปรับลดปริมาณขายในงวดปี 58/59 มาที่ 1.15 ล้านตัน จากเดิมคาดไว้ 1.25 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการใช้เหล็กในประเทศไม่เติบโตจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังมั่นใจว่างวดปีนี้จะมีผลกำไร หลังจากงวดครึ่งปีแรกมีกำไรแล้ว 157 ล้านบาท เพราะบริษัทปรับกลยุทธ์ไม่เร่งขายสินค้า แต่เน้นการสร้างผลกำไร

อย่างไรก็ตาม งวดปี 59/60 ผลงานจะดีขึ้นจากปีนี้ เพราะเชื่อว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทจะเน้นขยายตลาดต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตส่งเหล็กไปขายในออสตรเลีย คาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.59 ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้สูงกว่า 11% จากงวดปีนี้อยู่ที่ 10%

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSTH กล่าวว่า บริษัทฯมั่นใจผลประกอบการในงวดบัญชีปี 58/59 (เม.ย.58-มี.ค.59) จะพลิกกำไรสุทธิ หลังครึ่งปีแรก (เม.ย.- ก.ย.58) มีกำไรสุทธิแล้ว 57.63 ล้านบาท ทั้งปีก็น่าจะเป็นบวกได้ต่อเนื่อง เนื่องจากในปีนี้บริษัทปรับลดปริมาณขายลงเหลือ 1.15 ล้านตัน จากเป้าเดิม 1.25 ล้านตัน เนื่องจากการบริโภคเหล็กในประเทศปีนี้ไม่โตเลย อีกทั้งนโยบายบริษัทไม่เน้นปริมาณขาย แต่จะเน้นราคาขายที่เหมาะกับต้นทุนของบริษัท เพราะฉะนั้นปริมาณขายจริงจึงต่ำลงจากแผน

"ไม่เร่งเพิ่มปริมาณขาย แต่เราจะเน้นที่ขายแล้วมีกำไร ใน 2 ไตรมาสแรกเราสามารถทำกำไรขึ้นมาได้ จำเป็นต้องดูให้สมดุล เพราะเวลาซื้อเศษเหล็กถ้าเราจะเร่งขายต้องซื้อเพิ่ม ราคาก็จะขึ้นซึ่งมีผลต่อต้นทุนของเรา ขณะที่ราคาขายไม่ได้ปรับขึ้นตาม ก็จะส่งผลต่อผลประกอบการบริษัท เราจึงไม่เน้นเพิ่มปริมาณขาย แต่ต้องบาลานซ์ ราคาบวกต้นทุน เพราะเป้าหมายคือผลประกอบการเป็นบวก"

ทั้งนี้ ปริมาณขายที่ 1.15 ล้านตันในปีนี้ถือว่าสอดคล้องกับตลาดปีนี้ที่ความต้องการใช้เหล็กในประเทศไม่เติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน โดย TSTH มีส่วนแบ่งตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างยังอยู่ที่ 32-35% ในครึ่งปีแรกบริษัทขายได้แล้ว 5.5 แสนตัน

แนวโน้มผลประกอบการในปี 59/60 (เม.ย.59 - มี.ค.60).คาดว่าจะดีขึ้นกว่างวดปีนี้ โดยต้องเพิ่มทั้งปริมาณขาย การบริหารจัดการ ซึ่งถ้าเพิ่มยอดขาย การขายก็ต้องให้ได้กำไรด้วยเป็นภารกิจสำคัญซึ่งปริมาณขายจะต้องเพิ่มทั้งในประเทศและส่งออก ในประเทศจะได้รับผลดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะต้องใช้ปูนใช้เหล็กเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลดีต่อบริษัทฯ และเชื่อว่าปี 59 การบริโภคเหล็กในประเทศจะเติบโตจากปีนี้

"ปีหน้าเชื่อมั่นว่าในประเทศความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น บวกกับการบริหารกระบวนการภายใน เพื่อมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงต่อเนื่อง การควบคุมสินค้าคงเหลือ และยอดขายที่เพิ่มขึ้น ก็เชื่อว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ อีกทั้งมีการจ่ายคืนหนี้ระยะยาวทำให้ต้นทุนการเงิน ดอกเบี้ยจ่ายลดลง การเพิ่มคลังสินค้าในหลายภูมิภาคและผลักดันการขายทั้งในและต่างประเทศ เศษเหล็กก็พยายามลดต้นทุนลง ภาพรวมในอนาคตก็น่าจะสตรอง เข้มแข็งขึ้น ขณะที่มีปัจจัยเดียวคือการทุ่มตลาดจากจีน ที่จะได้รับผลกระทบมาก"

สำหรับการเพิ่มตลาดส่งออกนั้นมองออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันบริษัทดำเนินการอยู่คือออสเตรเลียจะต้องได้การรับรองมาตรฐาน ซึ่งได้ส่งคำขอไปแล้วคาดได้รับการรับรองราว ม.ค.-ก.พ.59 ซึ่งระหว่างนี้ก็สำรวจตลาดออสเตรเลีย ความต้องการใช้เหล็กก่อสร้าง หากได้ใบรับรอง มี.ค.59 น่าจะขายได้เลย ขณะที่ตลาดกัมพูชาจะส่งสินค้าไปขายเพิ่มขึ้น และได้เปิดตลาดฟิลิปปินส์ จากปัจจุบันเราส่งออกไปลาว กัมพูชา อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกในปี 59/60 มากกว่า 11% จากปีนี้อยู่ที่ 10% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงหาแนวทางเพื่อล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 3,000 ล้านบาท แต่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ

อนึ่ง ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างร้องขอกับกระทรวงพาณิชย์ให้ออกเป็นมาตรการถาวร เพื่อหยุดยั้งและช่วยผู้ประกอบการในประเทศ เกี่ยวกับประกาศใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราว (17-34%) เหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากจีน เมื่อ 11 ก.ย.58 มีผลเป็นเวลา 4 เดือน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ