TU ตั้งเป้ารายได้รวม(รูปเงินบาท)ปี 59 โต 15-20% จากปีนี้,รักษามาร์จิ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 24, 2015 18:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป(TU) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในรูปสกุลเงินบาทในปี 59 เติบโต 15-20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้กว่า 1.2 แสนล้านบาท หรือกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่วางเป้าหมายจะรักษาระดับมาร์จิ้นให้อยู่ในระดับสูงเหมือนปีนี้ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 16-17% และอัตรากำไรสุทธิ 4-5% เนื่องจากคาดว่าราคาวัตถุดิบไม่ได้ปรับขึ้นมากเหมือนในปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นราว 5-10% ขณะที่บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาขายให้สูงขึ้นได้ในระดับที่บริหารจัดการได้
"ปี 59 outlook ของบริษัทค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี รายได้โต 15-20% มาร์จิ้นรักษาระดับสูงเหมือนปี 58 อัตราการทำกำไรต่างๆจะโตขึ้นไปด้วย ตลาดต่างประเทศก็จะเข้มแข็งมากขึ้น จากหลายกลยุทธ์ของการเติบโตของบริษัท ความท้าทายอยู่ที่ความสามารถในการทำรายได้ให้ถึงเป้า ขณะที่กลยุทธ์ M&A ในหมวดธุรกิจที่เราชำนาญและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทก็ยังคงต้องมองหาต่อไป"นายธีรพงศ์ กล่าว

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า เป้าหมายรายได้ที่เติบโตในรูปสกุลเงินบาทในปีหน้านั้น ส่วนหนึ่งมาจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจะทรงตัวในระดับปัจจุบันไปอีก 1 ปีซึ่งจะช่วยหนุนธุรกิจส่งออกของไทย หลังจากที่ในปีนี้ค่าเงินบาทมีความผันผวนโดยอยู่ในระดับแข็งค่าในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะอ่อนค่าลงมาในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งระดับอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่อยู่ระดับกว่า 35 บาท/ดอลลาร์นั้นนับว่ามีความเหมาะสมและเป็นจุดที่ผู้ประกอบการยอมรับได้ รวมถึงบริษัทยังมีแผนรุกขยายตลาดใหม่ๆเพิ่มเติมด้วย

ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจกุ้งเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ โดยปริมาณวัตถุดิบกุ้งทั้งระบบเพิ่มขึ้นในปี 58 มาอยู่ที่ระดับ 2.5 แสนตัน จาก 2 แสนตันในปี 57 และปี 59 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.7-3.0 แสนตัน จะช่วยให้ธุรกิจกุ้งของไทยเติบโตในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในยุโรปเพิ่มขึ้น และพยายามหาพันธมิตรในตะวันออกกลางเพิ่มเติมเพื่อให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วย โดยในปี 59 บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับการลงทุนทั่วไปที่ระดับ 3.5 พันล้านบาท โดยไม่นับรวมการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม

ด้านความเสี่ยงของธุรกิจในปี 59 ทั้งในส่วนของภาวะเศรษฐกิจและภัยก่อการร้ายในยุโรปเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท เพราะว่าเป็นสินค้าพื้นฐานที่มีความจำเป็นในการบริโภค

สำหรับเป้าหมายระยะยาวบริษัทยังคงคาดว่าจะมีรายได้ในระดับ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63 ซึ่งเป็นผลจากการออกสินค้านวัตกรรม ซึ่งจะเริ่มผลิตภัณฑ์ในช่วงครึ่งหลังปี 59 และจะเห็นยอดขายที่ชัดเจนขึ้นในปี 60 รวมถึงการรุกตลาดเกิดใหม่ จากการที่บริษัทได้เข้าร่วมทุนกับทางตะวันออกกลาง เช่น ดูไบ โดยจะรุกตลาดตะวันออกกลาง เอเชีย ที่จะให้ความสำคัญมากขึ้น ตลอดจนจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ ยุโรป ซึ่งมองว่ายังเป็นทิศทางที่ดีอยู่ นอกจากนี้ยังคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการ Bumble Bee ในอนาคตด้วย

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า รายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะทำได้กว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากระดับ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีก่อน แต่ต่ำกว่าเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้ที่คาดไว้ระดับ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการ Bumble Bee มีความล่าช้า โดยบริษัทยังรอหนังสือจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐที่เข้ามาตรวจสอบก่อน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวในวันที่ 18 ธ.ค.58

โดยหากสามารถซื้อกิจการ Bumble Bee ได้บริษัทก็จำเป็นต้องขายกิจการภายใต้แบรนด์ "Chicken of the Sea" ออกทั้งหมด เนื่องจากเป็นข้อห้ามของทางสหรัฐเกี่ยวกับการครอบครองตลาด โดยปัจุจบัน Bumble Bee มีส่วนแบ่งตลาด 25% ส่วน Chicken of the Sea มีส่วนแบ่งตลาด 17% แต่หากผลสรุปออกมาว่าไม่สามารถซื้อ Bumble Bee ก็ไม่จำเป็นต้องขาย Chicken of the Sea

อย่างไรก็ตามในด้านฐานะทางการเงินของบริษัทนับว่าเข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/58 มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D:E) อยู่ที่ 0.64 เท่า จากสิ้นปี 57 ที่ 0.85 เท่า และแนวโน้มยังลดลงต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย( EBITDA) ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าทั้งปี 57 ที่อยู่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้คาดว่าในปีนี้ EBITDA ของบริษัทจะเป็นระดับสูงสุดใหม่

ส่วนจะมีการเพิ่มทุนเพื่อซื้อกิจการ Bumble Bee หรือไม่นั้นบริษัทยังไม่ได้มีการพิจารณา เพราะต้องรอให้ทางกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐสรุปเรื่องออกมาก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องแหล่งเงินลงทุนอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามการจะขาย Chicken of the Sea ก็จะทำให้มีเงินเข้ามาด้วย

สำหรับรายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มาจากแบรนด์สินค้าของบริษัท 43% และการรับจ้างผลิต(OEM) 57% แต่ในอนาคตคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเป็น 50:50 โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจาก สหรัฐ 42% ยุโรป 30% ในประเทศ 8% ญีปุ่น 8% และอื่นๆ 13% และเมื่อจำแนกประเภทธุรกิจ จะแบ่งเป็น ธุรกิจทูน่า 39% ,กุ้ง 28% ซาร์ดีน 6% แซลมอน 9% อาหารสัตว์ 6% และอื่นๆ 3%

"ในอนาคตรายได้จาก OEM จะลดลงเพราะแบรนด์เราจะโตขึ้นต่อเนื่อง แต่รายได้ไม่ลดลงต้องเพิ่มขึ้น โดยหวังสัดส่วนรายได้จะเป็น 50:50"นายธีรพงศ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ