AEC คาด SET Index ธ.ค.มีโอกาสลงไป 1,345 จุด สื่อสาร-ตลาดหุ้นจีนกดดัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 1, 2015 11:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี(AEC) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทย (SET) ในเดือน ธ.ค.58 ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงหลังจากดัชนีหลุดระดับ 1,370 จุด จากการร่วงลงของหุ้นในกลุ่มสื่อสาร และการกลับมาของความเสี่ยงจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจลงไปที่ 1,345 จุด

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของเดือนนี้อยู่ที่ 2 ประเด็น คือ เม็ดเงินลงทุนที่ตอบรับผลการจัดงาน Thailand Focus ในช่วงหลังจากวันที่ 4 ธ.ค. รวมถึงเงินลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะเข้ามาในช่วงปลายเดือนนี้ และความคาดหวังนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในการเพิ่มสัดส่วนและขยายระยะเวลาการทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งอุตสาหกรรมที่เป็น Strong Point ของไทยในปัจจุบัน คือ ธุรกิจบริการ หุ้นที่วางแผนซื้อต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลักดัน Earnings Momentum ของ SET ได้แก่กลุ่มท่องเที่ยว (สายการบิน,โรงแรม) หุ้นที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกลับเมื่อตลาดฟื้น ได้แก่ AOT- AAV- ERW- MINT- CENTEL- BA เนื่องจากมองว่าจำนวนนักท่องเที่ยว คือตัวเลขเศรษฐกิจไทยเพียงตัวเดียวที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ในปี 58

ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาล มีปัจจัยบวกระยะสั้น ได้แก่ แนวโน้มผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ดีในช่วง High Season และจับตาปัจจัยบวกในปี 59 คือการขยายตัวจากการเพิ่ม Capacity ทั้งในและต่างประเทศหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (M&A Theme) หุ้นที่ลงทุนที่น่าซื้อกลับได้แก่ BDMS- BCH และบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีอย่าง VIBHA

กลุ่มเช่าซื้อที่การขยายตัวของสินเชื่อในอัตราเร่ง หุ้นที่เป็นเป้าหมายในการซื้อได้แก่ SAWAD, MTLS - GL- ASK รวมถึงอุตสาหกรรมเล็กและธุรกิจที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ได้แก่ธุรกิจเครื่องสำอางค์, ธุรกิจตู้เติมเงิน, หุ้นที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกลับได้แก่ KAMART- BEAUTY- SMPC และ Trading SGP

“ในมุมมองของเราหุ้นในกลุ่มพลังงาน, สื่อสาร, ธนาคาร จะยังไม่ใช่กลุ่มที่ผลักดันผลการดำเนินงานและดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งหุ้นทั้ง 3 กลุ่มยังเผชิญแรงกดดันทั้งจาก ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์, ความเสี่ยง NPL ที่มีโอกาสปรับสูงขึ้น 3.6-4% และต้นทุนการดำเนินงานของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่สูงขึ้น ทำให้หุ้นทั้ง 3 กลุ่มไม่ได้เป็น Contribute หลักในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและเสี่ยงต่อการถูกปรับลดผลการดำเนินงานและราคาเป้าหมาย" นายเกรียงไกรกล่าว

สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประเมินว่าเป้าหมายสินเชื่อในปี 59 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ 5-6% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพในระยะยาว ขณะที่แนวโน้ม NPL มีโอกาสปรับเพิ่มไปที่ 3.6% และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 4% กรณีที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์รายเล็กมีความเสี่ยงในการโอนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน KBANK -SCB -BBL

ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อสาร จากประเมินความเสี่ยงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า พบว่ามีความเสี่ยงด้านต้นทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนกว่าการจัดสรรคลื่นความถี่ในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะสิ้นสุด โดยการแข่งขันประมูล 4G คลื่น 1,800 MHz มีต้นทุนของใบอนุญาตสูงถึง 40,000 ล้านบาท ขณะที่คลื่น 900 MHz จะมีต้นทุนความเสี่ยงอยู่ที่การติดตั้งอุปกรณ์ เนื่องจากคุณสมบัติของคลื่นความถี่มีความเหมาะสมในการให้บริการ 4G น้อยกว่า

นอกจากนี้ ยังมองว่าประสิทธิภาพการทำกำไรของหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเคยซื้อขายด้วยมูลค่าทางบัญชีที่สูง มีโอกาสถูกปรับลดมูลค่าพื้นฐานลง จนกว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ที่เกิดจากการได้สัมปทานที่ชัดเจน แนะซื้อ ADVANC (TP Consensus 260) ส่วน TRUE แนะเก็งกำไร ขณะที่ DTAC ยังไม่แนะนำให้ลงทุน

ส่วนกลุ่มพลังงานทดแทน มีความเสี่ยงจากงาน EPC ในธุรกิจพลังงานลม ในเรื่องของการรับรู้รายได้ในปี 59 ที่อาจต่ำกว่าคาด รวมถึงมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการได้งานในอนาคตจากการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังซื้อขายด้วยระดับ PE 25 เท่า ในขณะที่ความเสี่ยงการประมูลโครงการใหม่มีโอกาสล่าช้ากว่าที่คาด แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน DEMCO และ ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการรับรู้รายได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ