บลจ.วรรณ มองกรอบ SET ปีนี้ 1,200-1,500 จุด รับผลบวกศก.ฟื้น-น้ำมันดิบลด-แผนกระตุ้นศก.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 14, 2016 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ประเมินกรอบของดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ 1,200-1,500 จุด และยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยประเมินปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ เป็นผลจากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงและการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มของการเติบโต

โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง อาทิ สายการบิน หุ้นในกลุ่มที่มูลค่ายังไม่แพงจนเกินไปในกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่ได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท อาทิ กลุ่มอิเล็คทรอนิค และ กลุ่มท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว บริษัทแนะนำให้ทยอยลงทุน โดยเน้นกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นหลัก ตามกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจะได้รับผลดีในช่วงที่ตลาดพลิกกลับมาเป็นบวกแต่สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้ไม่มาก แนะนำให้รอเพื่อหาจังหวะลงทุนในช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศปีนี้มีโอกาสกลับมาขยายตัวได้ดี เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลดีเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ประกอบกับภาครัฐบาลยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นปัจจัยบวกหลักสนับสนุนการฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งทางบริษัทประเมินตัวเลขการเติบโตของจีดีพีปีนี้อยู่ที่ระดับ 2.8%–3.8%

จากฐานจีดีพีที่ต่ำในปี 57-58 และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะเป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทมองว่า หากความรุนแรงในตะวันออกกลางสามารถควบคุมได้ แต่ตลาดน้ำมันยังคงถูกกดดันจากประเด็นความกังวลของอุปทานที่ล้นความต้องการของตลาด เนื่องจากประเทศอิหร่าน หนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบได้ถูกยกเลิกการคว่ำบาตร โดยมอง downside risk ราคาน้ำมันมีโอกาสแตะระดับ 26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากหลุดที่ระดับ 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลลงมา

สำหรับภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยประเมินปัจจัยสนับสนุนหลักๆจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และแนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาด อีกทั้ง การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาจนถึงระดับปัจจุบันที่ประมาณ 1,280 จุด ทำให้อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio)ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำเพียง 12.4 เท่า ซึ่งถือว่าถูกหากเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาด โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 3.71% ขณะที่คาดการณ์อัตราการจ่ายปันผลของประเทศในกลุ่ม TIP (ไทย ฟิลลิปินส์ อินโดนีเซีย) อยู่ที่ระดับ 2.03% และ 2.26% ตามลำดับ

"ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นการแกว่งตัวตามปัจจัยต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลล่วงหน้าของผู้ลงทุนต่อภาวะการชะลอตัวเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายต่างๆ ในลักษณะฉับพลันของทางการจีน ซึ่งส่งผลเสียต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมองว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนเป็นระยะๆ เพราะทางรัฐบาลจีนอยู่ระหว่างการปรับแต่งนโยบายเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ผมมองว่า ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นการลงทุนของโครงการลงทุนภาครัฐ โดยปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนประมาณ 265,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.9% ของจีดีพี และ valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่แพง ดังนั้น เมื่อตลาดคลายความกังวลลงเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด บริษัทมองว่า ราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปีนี้ยังมีสภาพคล่องที่ล้นระบบเศรษฐกิจทั่วโลก จากการใช้มาตรการผ่านคลายทางการเงินของประเทศในแถบยูโรโซนและญี่ปุ่น"นายวิน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ