LALIN คาดยอดขาย Q1/59 โตทะลุเป้า 20% มาตรการรัฐหนุน,ดันโครงการตจว.เข้า"บ้านประชารัฐ"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 1, 2016 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถทำยอดขายพรีเซลได้ไตรมาส 1/59 ได้มากกว่าเป้าหมาย 20% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 840 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของยอดขายพรีเซลรวมในปีนี้ที่ตั้งไว้ 2.8 พันล้านบาท ในไตรมาสแรกแรกของปีนี้ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ทำให้ลูกค้ามีการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ได้รับผลบวกจากมาตราการภาครัฐค่อนข้างมาก และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำยังส่งผลบวกต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้บริษัทยังมีการเปิดโครงการแนวราบใหม่ในไตรมาส 1/59 จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งส่งผลให้ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้สามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

ส่วนในไตรมาส 2/59 บริษัทเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 800-900 ล้านบาท จากทั้งปี 59 ที่บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4 พันล้านบาท เป็นโครงการแนวราบเกือบทั้งหมด ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมนั้นบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาหลังจากตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น และปัจจุบันบริษัทยังมีสต๊อกคอนโดมิเนียมเหลือขายอยู่ 100 ยูนิต มูลค่าราว 120-130 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่เข้าร่วมบ้านประชารัฐของบริษัทนั้นมี 4 โครงการ เป็นโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 600 ยูนิต ราคาเฉลี่ยยูนิตละ 1.2-1.5 ล้านบาท โดยเป็นยูนิตที่สร้างเสร็จพร้อมขายจำนวน 150-180 ยูนิต ซึ่งบริษัทจะพยายามเร่งการขายเพื่อให้ทันกับโครงการบ้านประชารัฐและมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองที่จะสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 28 เม.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 2/59 จะเกิดการชะลอตัวขึ้นหลังมาตรการรัฐสิ้นสุดลง ดังนั้น บริษัทก็ยังจะทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ปัจจุบันมีอยู่ 750 ล้านบาท จะมีการโอนในปีนี้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ไว้ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 2.09 พันล้านบาท โดยรายได้ที่เข้ามาในปีนี้จะมาจากโครงการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ หรือมีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบในปีนี้อยู่ที่ 95% และส่วนที่เหลืออีก 5% เป็นคอนโดมิเนียม

"กำไรในปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ และโครงการที่จะโอนส่วนใหญทในปีนี้ก็เป็นโครงการแนวราบมากกว่า ซึ่งก็มีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบ 95% สมวนคอนโดมีอยู่แค่ 5% ซึ่งเรามีคอนโดเหลือขายอีก 100 ยูนิต ก็คาดว่าคงขายหมดได้ภายในปีนี้"นายชูรัชฏ์ กล่าว

ขณะที่บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดในมือ โดยบริษัทยังจะต้องใช้เงินในการซื้อที่ดินที่จะต้องเปิดโครงการในปีนี้อีก เนื่องจากมีที่ดินพร้อมพัฒนา 4 โครงการ เหลืออีก 4 โครงการจะต้องซื้อที่ดินใหม่ นอกจากนี้บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้ในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.ค.59 วงเงิน 630 ล้านบาท

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้ยังเชื่อว่าเติบโตได้ 5-10% แม้ว่าล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) เหลือขยายตัว 3.1% จากเดิมที่ขยายตัว 3.5% โดยปกติตลาดอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัว 1.5-2 เท่าของ GDP ซึ่งในช่วงต้นปีตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังขยายตัวได้มากจากมาตรการของภาครัฐเป๊นปัจจัยหนุน แต่จะเริ่มชะลอตัวลงหลังหมดมาตการ แต่ทางผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แต่ละรายก็จะมีการออกโปรโมชั่นมาเพื่อกระตุ้นยอดขายมากขึ้น รวมไปถึงการเปิดโครงการใหม่ๆที่จะเริ่มเปิดกันมากในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังขยายตัวได้อยู่

นายชูรัชฎ์ กล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนกรุงเทพตะวันตกและนนทบุรีนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 100% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีจำนวนโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม 14,000 ยูนิต แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10,000 ยูนิต และโครงการคอนโดมิเนียม 4,000 ยูนิต และคาดว่าจะมีจำนวนยูนิตที่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเกาะไปกับแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงและชมพู และในส่วนของโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรีที่ภาครัฐได้อนุมัติการลงทุนโครงการไปแล้วนั้น มองว่าไนอนาคตจะมีโครงการแนวราบเปิดตัวเพิ่มมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการที่ทำเลในโซนกรุงเทพตะวันตกและนนทบุรีมีการเติบโตอยทางมากส่วนใหญทจะมาจากการพัฒนาเส้นทางคมนาคม ทำให้เกิดการพัฒนาระบบสารธารณูปโภคต่างๆและสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นใหม่ตามมา อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และคอมมูนิตี้มอลที่มีการเปิดกันค่อนข้างมากในทำเลดังกล่าว

"ลลิลก็เป็นเบอร์ 2 ของตลาดแนวราบไนโซนกรุงเทพตะวันตกและนนทบุรี โดยมีโครงการในโซนนี้ 6 โครงการ จำนวน 900 ยูนิต มูลค่า 2,300 ล้านบาท ที่ยังเหลือขายอยู่"นายชูรัชฏ์ กล่าว

ด้านยอดปฎิเสธสินเชื่อของบริษัทในปีนีคาดจะทรงตัวในระดับเดียวกันกับปีก่อน ที่ 20-25% แต่เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่ระดับ 15-18% เนื่องจากหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทก็ได้มีการรับมือกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์ และตรวจสอบเอกสารลูกค้าก่อนยื่นกู้สถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราการปฎิเสธสินเชื่อลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ