(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลง เหตุกังวลเศรษฐกิจโลกหลังเงินเยนแข็งค่ามาก-ราคาน้ำมันร่วง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 4, 2016 09:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ซึมตัวลง จากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเงินเยนแข็งค่ามาก โดยมาอยู่แถว 106 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือน ทำให้มีความกังวลเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกไปด้วย แต่ขณะนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังคงปิดทำการอยู่ ซึ่งจะเปิดทำการอีกทีในวันศุกร์นี้ ก็คาดว่าจะเปิดร่วงอันเนื่องมาจากเงินเยนแข็งค่า

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบก็ร่วงลงต่อเนื่อง อันเป็นผลจากอุปทานน้ำมันที่ล้น และทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ก็ยังเพิ่มกำลังการผลิตด้วย ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียต่างติดลบกันทั่วหน้า

สำหรับตลาดบ้านเราก็จะหยุดยาวในช่วงสุดสัปดาห์นี้ด้วย ทำให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดโดยรวมอาจไม่มาก พร้อมให้แนวรับ 1,395 ถัดไป 1,380-1,385 จุด ส่วนแนวต้าน 1,410 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 พ.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,750.91 จุด ร่วงลง 140.25 จุด (-0.78%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,763.22 จุด ลดลง 54.37 จุด (-1.13%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,063.37 จุด ลดลง 18.06 จุด (-0.87%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 9.61 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 120.44 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 11.60 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 8.17 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 24.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 6.67 จุด

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันสีเขียว

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 พ.ค.59) 1,397.87 จุด ลดลง 6.74 จุด(-0.48%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 439.74 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 พ.ค.59
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 พ.ค.59) ปิดที่ 43.65 ดอลลาร์/
บาร์เรล ร่วงลง 1.13 ดอลลาร์ หรือ 2.5%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 พ.ค.59) ที่ 4.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.12 อ่อนค่าตามภูมิภาคหลังดอลล์แข็ง แนวโน้มวันนี้แกว่งในกรอบ-ธุรกรรมเบาบาง
  • นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้ติดตามการประกาศตัวเลขการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพบว่าตัวเลขไม่สะท้อนความเป็นจริง จึงต้องการให้ดึงสินค้าทองคำออกไปจากการคำนวณตัวเลขการส่งออกในแต่ละเดือนออกมา เพื่อให้ทราบตัวเลขการส่งออกที่ชัดเจนมากขึ้น และต้องการให้เข้า ไปติดตามตลาดซีแอลเอ็มวี ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ว่าเหตุใดตัวเลขการส่งออกไตรมาสแรกจึงติดลบ 3.99% ทั้งๆ ที่ผ่านมาไทยส่งออกเจาะตลาดกลุ่มนี้ได้ดีมาตลอด
  • น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกปีนี้ คาดจะเติบโตเหลือ 2.8% ลดลงจากเป้าเดิม ที่ต้นปีมองทั้งปีนี้จะโต 3% ทั้งนี้เพราะหลังจากไตรมาสแรกธุรกิจรวมค้าปลีกโตได้แค่ 2.6% ตามเศรษฐกิจและกำลังซื้อ โดยเฉพาะในระดับล่างที่ยังชะลอตัว นอกจากนี้แนวโน้มในอนาคตก็ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาชัดเจน โดยแนวโน้มดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมจีดีพีของประเทศ ที่ปรับเป้าเติบโตสิ้นปีนี้เหลือ 2%
  • นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยว่า คาดว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะทะลุ 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์เดือน พ.ค. และไต่ขึ้นไปถึง 1,350 เหรียญสหรัฐ หรือบาทละ 21,700 บาท ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ภายใต้ค่าเงินบาทที่ 34.60-34.70 บาท/เหรียญสหรัฐ เพราะเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงครั้งเดียวในปีนี้ หรือไม่ปรับขึ้นเลย เนื่องมาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวต่อไป และเป็นผลดีต่อราคาทองคำ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ล่าสุดเดือน เม.ย.ปีนี้ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 49.8 ต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าเครื่องชี้ของผู้ประกอบการทั้งในภาคการผลิต การค้า บริการ และการเงิน แย่ลง สะท้อนการขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยเดือนก่อนหน้าดัชนีอยู่ที่ 51.5 อย่างไรก็ตาม ดัชนีเดือน เม.ย.ปีนี้ยังดีกว่าเดือนเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 45.2 เนื่องจากเทศกาลหยุดยาวช่วงสงกรานต์และกำลังซื้อที่ลดลง
  • หอค้าไทยเผยสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย.59 ดัชนีทุกรายการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 4 ต่ำสุดรอบ 7 เดือน ผลกระทบหลักจากภัยแล้ง-รายได้ไม่พอรายจ่าย ส่งสัญญาณอนาคตหดต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลัง อาจไม่เห็นเศรษฐกิจโต 3%

*หุ้นเด่นวันนี้

  • ERW (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดจะประกาศกำไรสุทธิในงวด 1Q59 ในวันที่ 12 พ.ค.59 จะใกล้เคียงกับกำไรปี 58 ทั้งปี และผลประกอบการ 2Q59 ยังได้รับผลบวกจากนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปีนี้มีวันหยุดยาวหลายวัน ทั้งนี้ปัจุบันราคาหุ้นยังขึ้นมาไม่มากหากเทียบกับหุ้นในกลุ่มโรงแรม
  • BANPU (โกลเบล็ก) "ซื้อ"คาดจะขาดทุนในไตรมาส 1 ราว 267 ล้านบาท ลดลง 485% YoY แต่เพิ่มขึ้น 82%QoQ โดยถูกกดดันจากขาดทุนค่าเงินราว 300 ล้านบาท โดยธุรกิจถ่านหินที่อินโดนีเซียยังสร้างกำไร ขณะที่ธุรกิจถ่านหินที่ออสเตรเลียและจีนผลประกอบการทรงตัวในระดับต่ำจนเกือบขาดทุน ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้ายังสร้างกำไรราว 700 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้า BLCP ราว 500 ล้านบาทและจากโรงไฟฟ้าหงสาราว 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกำไรจากโรงไฟฟ้าหงสาต่ำกว่าที่คาดไว้เนื่องจากโรงไฟฟ้าเฟส 1 ยังคงเดินเครื่องได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแม้ว่าอีก 2 เฟสจะเริ่มเดินเครื่องแล้วก็ตาม ด้านการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่สหรัฐ คาดจะสร้างผลขาดทุนในช่วง 1-2 ปีแรก เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูง และราคาขายก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามทางบริษัทคาดว่าหากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นในอนาคตธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสร้างผลตอบแทนแก่บริษัทในระยะยาว
  • HMPRO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 10 บาท จากประชุมวานนี้พบว่า SSSG เดือนเม.ย. ปรับขึ้นแรง 5% Y-Y ส่วน 2Q59 คาดว่าจะบวกได้ 3-5% Y-Y ส่วนหนึ่งจากฐานต่ำในปีก่อนและสาขาในกทม.โตดี แต่สาขาต่างจังหวัดยังติดลบอยู่โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ กำไร 2Q59 น่าจะทำได้ 950-1,000 ล้านบาท โต 10-15% Q-Q และ 15-20% Y-Y ปัจจุบัน HMPRO อยู่ระหว่างแตกไลน์ร้านค้าใหม่ประเภท Living (เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในบ้าน) คาดเปิดสาขาแรกเดือน ต.ค. จากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งเปิดร้าน Bike Shop โดยยังคาดกำไรปีนี้ เติบโต 13.4% Y-Y
  • TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 52 บาท แม้ว่าจะเพิ่งผ่านการขึ้นเครื่องหมาย XD ไปเมื่อ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) แต่ที่ราคาหุ้นปัจจุบันก็เป็นระดับที่น่าซื้อลงทุนด้วยผลการดำเนินงานหลักที่มีแนวโน้มดี NPL เริ่มลดลง ความจำเป็นในการตั้งสำรองฯน้อยลง ราคารถมือสองในตลาดเริ่มฟื้นตัว โดยคาดกำไรสุทธิ 2Q59 จะโดดเด่นกว่ากลุ่ม เบื้องต้นคาด 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% Q-Q และเพิ่มขึ้น 29% Y-Y จาก Spread ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE เพียง 7 เท่าและ PBV เพียง 1.1 เท่า
  • SAPPE (ซีไอเอ็มบี) "ซื้อ"เป้า 21.9 บาท คาดจะมีกำไรลดลง 37% yoy แต่เพิ่มขึ้น 38% qoq ใน 1Q59 โดยมองว่าการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ขณะที่ยอดขายในประเทศทรงตัว ด้านอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับการเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ yoy เพราะแคมเปญโฆษณาผ่าน สื่อโทรทัศน์สำหรับผลิตภัณฑ์เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์และเพรียวคอฟฟี่

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ