PTTGC คาดปี 60 รายได้โต 17% รับกำลังผลิต 4 โครงการใหม่เต็มที่-ไม่มีปิดซ่อม,ปีนี้ผลงานดีกว่าปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 19, 2016 18:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า ในปี 60 คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตราว 17% บนสมมุติฐานราคาน้ำดิบดูไบทรงตัวจากปี 59 ที่เฉลี่ย 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากรับรู้รายได้และกำไรจาก 4 โครงการใหม่ได้เต็มปี และไม่การปิดซ่อมบำรุงใหญ่ จากที่ปีนี้ได้ปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ในไตรมาสแรก และปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือน เม.ย.-พ.ค.59 เป็นเวลา 60 วัน

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC คาดว่า รายได้และกำไรในปี 59 ดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้จากการขายราว 4 แสนล้านบาท และ กำไรสุทธิ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะสามารถรักษาอดัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ใกล้เคียงปีก่อนที่อยู่ระดับ 12-13%

ในช่วงครึ่งหลังปี 59 รายได้และกำไรดีกว่าครึ่งแรกของปี เนื่องจากโครงการขยายกำลังการผลิต 4 โครงการจะทยอยเริ่มผลิตตั้งแต่เดือน พ.ค.59 ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.42 ล้านตัน/ปี จาก 2.26 ล้านตัน/ปี ณ สิ้นเดือน มี.ค.59 และทำให้มี EBITDA เพิ่มขึ้น 120 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี แต่ปีนี้รับรู้เพียงครึ่งปี หรือราว 60 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 2/59 จะดีกว่าไตรมาสแรก เพราะธุรกิจโรงกลั่นมีสัดส่วนกำไรน้อยกว่าธุรกิจปิโตรเคมี แม้รายได้จะมีสัดส่วนมากกว่าธุรกิจปิโตรเคมี

นางสาวดวงกมล กล่าวว่า บริษัทคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันในไตรมาสแรกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วที่ 26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.ราคาปรับขึ้นมาที่ 35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาเฉลี่ยทั้งไตรมาสอยู่ที่ 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/59 จะอยู่ระดับเฉลี่ย 42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในช่วง 40-42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ 1)โครงการอะโรเมติกส์ 2 กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1.7 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 128.8 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเริ่มผลิตในเดือน พ.ค.นี้ 2) โครงการฟีนอล 2 กำลังการปลิตเพิ่มขึ้น 4.05 แสนตันต่อปี เงินลงทุน 345 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเริ่มผลิตเดือน พ.ค.นี้เช่นกัน

3) โครงการเวนคอเร็กซ์ ประเทศไทย กำลังการผลิต HDI 12,000 ตัน/ปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นทางในการผลิตอุปกรณ์รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง เงินลงทุน 43 ล้านเหรียญสหรัฐ จะเริ่มผลิตปลายปีนี้ และ 4) โครงการขยายกำลังการผลิตสาร HVI ในฝรั่งเศส กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 7 หมื่นตัน/ปี จาก 2.4 หมื่นตัน/ปี ลงทุน 48 ล้านเหรียญสหรัฐ เริ่มผลิตได้ในไตรมาส 3/59

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึงโครงการใหม่อีก 3 โครงการว่า โครงการ US Petrochemical Complex ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันศึกษารายละเอียดโครงการขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตัน และดำเนินเจรจากับพันธมิตรที่มีศักยภาพทางการตลาดอยู่หลายราย โดย PTTGC จะถือหุ้นใหญ่ หรือเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะสรุปเงินลงทุนได้ภายใน 3-4 เดือนนี้ จากนั้นคาดว่าจะสรุปโครงการทั้งหมดต้นปี 60 และเริ่มการก่อสร้าง เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 64

"ขณะนี้อยู่ระหว่างหาแหล่งวัตถุดิบ คือ ก๊าซมีเทน เจรจากับพันธมิตรกว่า 10 ราย และหาผู้รับเหมาก่อสร้าง...ที่ห่วง คือ เรื่องวัตถุดิบ ค่าก่อสร้าง เพราะเป็นตัวชี้อนาคตโครงการ"นายสุพัฒน์พงษ์ กล่าว

ส่วนโครงการในประเทศอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแนฟทาแครกเกอร์ ที่มาบตาพุด ขนาดกำลังการผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี โพรพิลีน 2.61 แสนตัน/ปี ระหว่างนี้ออกแบบและขอใบส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) คาดว่าสรุปเงินลงทุนต้นปี 60 และจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 61 จากนั้นจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 63

และโครงการลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร อยู่ระหว่างหาผู้รับเหมา และออกแบบ คาดสรุปมูลค่าการลงทุนภายในปีนี้หรือต้นปี 60 คาดเริ่มก่อสร้างกลางปี 61 และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 62

นายสุพัฒนพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดในอาเซียนเพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้มากขึ้นเป็น 10-15% ภายในช่วง 2 ปีนี้ จากสิ้นเดือน มี.ค.59 มีสัดส่วน 6% ขณะที่จะปรับลดสัดส่วนตลาดจีนลงมาเหลือ 5% จาก 15% ในปัจจุบัน

นางสาวดวงกมล กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 7,000-10,000 ล้านบาท อายุ 3,5 และ 7 ปี เพื่อนำไปทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน 1 พันล้านบาทและคืนหนี้เงินกู้

ขณะที่บริษัทมีแผนลดต้นทุนการเงินลง 0.5% มาทึ่ 3.8% จาก 4.2% ในปัจจุบัน โดยจะคืนเงินกู้ราว 1.2 หมื่นล้านบาท ด้วยเงินสดที่มีมากถึง 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทมีแผนจะลดค่าใช้จ่ายลง 1,000 ล้านบาท จากปี 58 ลดค่าใช้จ่ายไปได้ราว 630 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ