ธนาคารกรุงไทย (KTB) เผยผลประกอบการไตรมาส 2/59 มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนการหักสำรองและภาษีจำนวน 18,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.16% จากไตรมาส 2/58 โดยมีกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 8,679 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.72% ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนของภาครัฐ แม้ว่าการส่งออกยังคงซบเซาตามเศรษฐกิจของคู่ค้า
สำหรับงวดครึ่งปีแรกปี 59 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองและภาษีเงินได้จำนวน 36,967 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,588 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้หลักมาจากดอกเบี้ยสุทธิ รวมทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่เพิ่มขึ้น จากธุรกรรมบัตรและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของธนาคารจำนวน 16,218 ล้านบาท ลดลง 160 ล้านบาท หรือลดลง 0.98% โดยธนาคารและบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองจำนวน 16,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,124 ล้านบาท หรือ 45.59% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อน ทำให้อัตราส่วนเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 102.66% เป็นไปตามนโยบายในการรักษาระดับไม่ให้ต่ำกว่า 100%
ณ วันที่ 30 มิ.ย.59 ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,973,366 ล้านบาท ลดลง 54,074 ล้านบาท หรือ 2.67% จากสิ้นปี 58 และมียอดเงินฝากจำนวน 2,081,903 ล้านบาท ลดลง 53,595 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.51% ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) จำนวน 94,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 17,846 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.37% ซึ่งมาจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วน ลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อย ทั้งนี้ธนาคารมุ่งเน้นกระบวนการติดตามและปรับโครงสร้างหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารอย่างใกล้ชิด
ธนาคารมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 305,617 ล้านบาท คิดเป็น 15.84% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งคำนวณตามหลักเกณฑ์ Basel III ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 231,763 ล้านบาท และมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของเท่ากับ 225,381 ล้านบาท