โบรกฯแนะ"ซื้อ"SCB หลังงบ Q2/59 แข็งแกร่งสูงกว่าตลาดคาด,คาดศก.ฟื้นหนุนสินเชื่อ-สำรองฯลดช่วงที่เหลือของปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 22, 2016 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หลังกำไรในไตรมาส 2/59 ออกมาแข็งแกร่งอย่างน่าประทับใจ และสูงกว่าตลาดคาด ทำให้โบรกเกอร์บางรายปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 59-60 จากคาดกำไรจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 59 เป็นผลจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนสินเชื่อหลักในกลุ่มลูกค้ารายย่อยให้กลับมาเติบโตได้

ขณะที่การตั้งสำรองฯจำนวนมากในไตรมาส 2/59 ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) มีความแข็งแกร่ง เป็นระดับที่พอเพียง ซึ่งจะลดแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญอาจลดลงไปในไตรมาสถัด ๆ ไป

ทั้งนี้ โมเมนตัมการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง และคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนราคาหุ้น SCB ให้ปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นของธนาคารอื่น ๆ

นับตั้งแต่ต้นปีหุ้น SCB ปรับขึ้นราว 24% มาอยู่ที่ 148.50 บาท ขณะที่หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปรับขึ้นราว 9% มาที่ 166.50 บาท และหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปรับขึ้นราว 4% มาที่ 178 บาท

          โบรกเกอร์                คำแนะนำ              ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          แอพเพิล เวลธ์             ซื้อเมื่ออ่อนตัว           140
          บัวหลวง                  ซื้อ                   157
          โนมูระ พัฒนสิน             ซื้อ                   179
          ดีบีเอสฯ                  ซื้อ                   165
          เคจีไอฯ                  ซื้อ                   165
          แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์          ซื้อเก็งกำไร            160
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ          ซื้อ                   169
          ทิสโก้                    ซื้อ                   153
          ทรีนีตี้ฯ                   ซื้อ                   169
          ซีไอเอ็มบีฯ                ซื้อ                   177
          ฟิลลิปฯ                   ทยอยซื้อ               166

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น"ซื้อ"หุ้น SCB จากเดิม"ถือ"หลังกำไรไตรมาส 2/59 ออกมาแข็งแกร่ง จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และการกันสำรองลดลง ชณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยฟื้นตัว ระดับอัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้ (Coverage Ratio) ถือว่าสูงเพียงพอแล้ว หลังมีการบวกกลับสำรองค่าใช้จ่ายของ SCB Life ดังนั้น คาดว่าการกันสำรองจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับประมาณการการกันสำรองลง ขณะที่ปรับสมมติฐานส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิของในปี 59-60 จะปรับเพิ่มขึ้น 7% และ 6% ตามลำดับ พร้อมทั้ง ปรับราคาเหมาะสมไปเป็นปี 60 ราคาเป้าหมายจึงเพิ่มขึ้น 20% เป็น 169 บาท จากแนวโน้มการเติบโตที่สดใสขึ้น พร้อมด้วยมูลค่าที่ยังน่าสนใจ

เช่นเดียวกับบทวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น SCB จาก"ถือ"เป็น"ซื้อ"ภายหลัง ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 ที่ระดับ 1.28 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ consensus คาดไว้ 5% โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น เนื่องจากอัตราการเกิด NPL ใหม่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่สินเชื่อเติบโตจากกลุ่มสินเชื่อเคหะและสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้น 6-12% ในปี 59-61 สะท้อนอัตราการสำรองหนี้สูญที่ลดลง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ลดลง

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ปรับราคาเป้าหมายปี 60 สำหรับหุ้น SCB เพิ่มขึ้นเป็น 169 บาท ทำให้กลับมามี Upside จึงปรับคำแนะนำเป็น"ซื้อ"โดยคาดกำไรสุทธิสำหรับปี 59 ที่ 4.72 หมื่นล้านบาท โดยกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 49.5% แล้ว ขณะที่คาดว่าในครึ่งปีหลังอาจเห็นผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญในไตรมาส 2/59 ไปแล้ว โดยมีสำรองบางส่วนที่เป็นสำรองทั่วไป ทำให้ NPL Coverage Ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 131.5% ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเป็นระดับที่พอเพียง และในไตรมาสถัด ๆ ไปแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญอาจลดลงได้ ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนสินเชื่อรายย่อย ซึ่งเป็นสินเชื่อหลักของธนาคารให้กลับมาเติบโตได้

ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCB รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/59 ออกมาดีกว่าที่ตลาด 9% และดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ 6% เนื่องจากมีการกลับรายการสำรองฯของ SCB Life มาเป็นรายได้ 4.3 พันล้านบาท และมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนด้วย ซึ่งรายการพิเศษดังกล่าวทำให้ธนาคารตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงขึ้น เพื่อขยายอัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้

ขณะที่สินเชื่อ ณ สิ้นมิ.ย.59 เติบโต 1.5% นับตั้งแต่ต้นปี โดยสินเชื่อแทบทุกประเภทขยายตัวได้ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อหดตัว 1.3% ซึ่งโครงสร้างสินเชื่อ SCB ณ สิ้นไตรมาส 2/59 ประกอบด้วย สินเชื่อรายย่อย 45% (โดยในจำนวนนี้ 70% เป็นสินเชื่อที่พักอาศัย และ 20% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ), สินเชื่อรายใหญ่ 35% และสินเชื่อเอสเอ็มอี 20%

นอกจากนี้ คาดกำไรของ SCB จะดีขึ้นในไตรมาสต่อไป หากไม่รวมรายการพิเศษถือว่าผลประกอบการเป็นไปตามคาดและเชื่อว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 59

นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า บล.ฟิลลิปฯแนะนำ"ทยอยซื้อ"หุ้น SCB เพราะระดับราคาปัจจุบันยังมี Upside มากจากราคาเป้าหมายที่ 166 บาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 ออกมาดีกว่าคาด สาเหตุหลักมากจาก การกลับสำรองเข้ามาเป็นรายได้ ในส่วนของธุรกิจประกัน โดยรายได้ดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ผลการดำเนินงานลดลง จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องติดตามแนวโน้มของ NPL ด้วย

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย แนะนำให้ซื้อหุ้น SCB ซึ่งบล.กสิกรไทย เลือกให้เป็น Top Pick ในกลุ่มแบงก์ เนื่องจากกำไรเริ่มกลับมาฟื้นตัวเติบโตได้ดี และปัจจุบันราคาหุ้นถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว โดย P/E อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมาก ประกอบกับในไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา SCB ได้ตั้งสำรองเกี่ยวกับประกัน และไตรมาส 2/59 ธนาคารสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น และกลับสำรองมาเป็นรายได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี นอกจากนี้ NPL ถือว่ากลับมาสู่ระดับปกติแล้ว หลังในปีก่อนมีการตั้งสำรองหนี้เสียของ SSI จำนวนมาก

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ เพราะอาจจะมีผลต่อการเติบโตของสินเชื่อ และ NPL รวมไปถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ที่จะมีผลต่อธุรกิจประกัน นอกจากนี้ ให้ติดตามการเมืองที่จะมีลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 7 ส.ค.นี้ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ