(เพิ่มเติม) CHO ร้อง สตง.ตรวจสอบงบดุล"เบสท์ริน กรุ๊ป"ขาดคุณสมบัติเป็นคู่สัญญา ขสมก.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 5, 2016 12:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ช ทวี (CHO) กล่าวว่า กลุ่มร่วมค้า JVCC ที่มีบริษัทเป็นแกนนำได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของ เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในการประมูลจัดซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน เนื่องจากเสนอรายรับ-รายจ่ายในงบการเงินไม่ถูกต้อง และ ยังมีความเสี่ยงจะถูกฟ้องล้มละลาย ซึ่งศาลภาษีอากรจะมีการตัดสินคดีในสิ้นเดือน ส.ค.นี้

ขณะที่คณะกรรมการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะมีการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 8 ส.ค.59 เพื่อตัดสินและประกาศผู้ชนะประมูลโครงการดังกล่าว ซึ่งหากตัดสินว่าเบสท์ริน กรุ๊ป เป็นผู้ชนะ ทางบริษัทก็พร้อมน้อมรับคำตัดสิน แต่ ขสมก.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดปัญหาในอนาคต เพราะการร่วมงานกับบริษัทที่กำลังจะถูกฟ้องล้มละลายถือว่ามีความเสี่ยง

"เราก็ต้องปล่อยให้เป็นอำนาจของ สตง. และขสมก. ว่าจะสรุปอย่างไร ซึ่งเราก็ทำตามหน้าที่ของเราเต็มที่ และก็รอวันที่ 8 ส.ค.นี้ ถ้า ขสมก.ประกาศมาว่าให้คู่แข่งเราชนะ เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็คงต้องยอมรับคำตัดสินนั้น"นายสุรเดช กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

สำหรับความคืบหน้าคดีที่ CHO ยื่นฟ้อง ขสมก.ต่อศาลปกครองกรณีที่ ขสมก.ยกเลิกสัญญาจัดซื้อรถเมล์ NGV 489 คันในการประมูลครั้งก่อนและเรียกค่าเสียหายราว 1,500 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องแล้ว และยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งยังน่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควร

อนึ่ง ช่วงเช้าวันนี้ นายกริน ชยวิสุทธิ์ ตัวแทนกลุ่มกิจการร่วมค้า JVCC เดินทางไปยื่นหนังสือพร้อมนำเอกสารหลักฐานข้อมูลต่างๆ เข้าร้องเรียนต่อ สตง.หลังจากยื่นคัดค้านการเซ็นสัญญาจัดซื้อรถเมล์ NGV ต่อ ขสมก.กับเบสท์ริน กรุ๊ป ไปแล้ว เนื่องจากพบประเด็นส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใส โดยเฉพาะการรายงานงบดุลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญ

โดยเฉพาะรายงานบัญชีรายรับรายจ่ายที่บริษัทเบสท์รินกรุ๊ป รายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ งบการเงินสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.58 ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และยังขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ 30 , 31 ตลอดจนขัดกับประกาศของขสมก.ที่กำหนดว่า “นิติบุคคลที่จะเข้าเป็นคู่สัญญาต้องไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ไม่แสดงบัญชีรายรับรายจ่าย หรือแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายไม่ถูกต้องครบถ้วนในสาระสำคัญ"

นายกริน ระบุว่า คำฟ้องคดีแพ่งเลขดำที่ ภ.71/2558 ภ.72/2558 ภ.73/2558 และ ภ.126/2558 มีสาระสำคัญระบุว่า เมื่อระหว่างเดือนต.ค.49 ถึงเดือนก.ย.50 เบสท์รินกรุ๊ป ได้นำเข้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศ พร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากประเทศจีนหลายครั้ง รวมจำนวนรถยนต์นำเข้ามากกว่า 200 คัน แต่เจ้าพนักงานกรมศุลกากรตรวจสอบพบว่าสำแดงราคารถยนต์ต่ำกว่าราคาจริง ซึ่งเป็นการสำแดงเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงอากรขาเข้า จึงเรียกได้ประเมินอากรขาเข้าภาษีมูลค่าเพิ่มเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ แต่ทางเบสท์รินกรุ๊ป ก็ไม่ได้ชำระเบี้ยปรับและภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ ซึ่งศาลภาษีอากรกลางนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 ส.ค.59 เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ เบสท์ริน กรุ๊ป มีหน้าที่ต้องนำจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวต่อกรมศุลกากร และกรมสรรพากร และลงในบัญชีรายจ่ายที่แท้จริงในบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทฯ เป็นเหตุให้งบการเงินในรอบปีบัญชี 2558 มีกำไรสะสม 78,102,622.96 บาท ซึ่งหากบริษัทลงบัญชีรายจ่ายตรงไปตรงมา จะส่งผลให้มีผลขาดทุนในรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 กว่า 150 ล้านบาท ย่อมส่งให้เบสท์ริน กรุ๊ป อยู่ในฐานะเป็นนิติบุคคลที่ขาดคุณสมบัติการเข้าเป็นคู่สัญญากับ ขสมก.

อย่างไรก็ตาม นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 59 ไว้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยการประมูลงานโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ อีกทั้งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อนเนื่อง ทั้ง งานระบบตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติการเดินรถ (GPS) ของขสมก. และยังมองโอกาสเข้าประมูลงานรถเมล์ไฟฟ้าของ ขสมก.อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าบริษัทน่าจะได้รับโอกาสเข้าไปรับงานดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ