โบรกฯแนะ"ซื้อ" TCAP มองผลงาน H2/59 โดดเด่นจาก H1 เหตุตั้งสำรองฯลด,รุกปล่อยสินเชื่ออื่นชดเชยกลุ่มรถยนต์ใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 21, 2016 15:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ทุนธนชาต (TCAP) หลังมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้อาจมีความโดดเด่นมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมีแนวโน้มลดลง หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกตั้งสำรองพิเศษ และเร่งลด NPL ซึ่งส่งผลให้ Coverage ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 125% ตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้

ส่วนการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้อาจทรงตัวหรือหดตัวจากปีก่อนเล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยกดดันจากยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว ทำให้มีผลกระทบไปถึงการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ที่น้อยลง แต่บริษัทหันไปให้สินเชื่อประเภทอื่นเพื่อชดเชย เช่น การปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ซึ่งมีผลช่วยให้สินเชื่อของบริษัทไม่หดตัวลงไปมาก

ราคาหุ้น TCAP ช่วงบ่ายอยู่ที่ 40.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท (+1.90%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 1.28%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                    ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ทิสโก้                        ซื้อ                              44
          แอพเพิล เวลธ์                 ซื้อ                              44
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                              45
          กสิกรไทย                     ซื้อ                              45
          แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์              ซื้อ                              46
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                              48
          ไทยพาณิชย์                    ซื้อ                              48
          โนมูระ พัฒนสิน                 ซื้อ                              50
          เคทีบี (ประเทศไทย)            ซื้อ                              52.50
           นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของ TCAP จะดีขึ้น จากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้ตั้งสำรองพิเศษ และการเร่งลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพื่อเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 125% ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงได้
          โดยยังคงการคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทในปี 59 อยู่ที่ 5.9 พันล้านบาท หรือเติบโต 8.8% จากปีก่อน และปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท หรือเติบโต 11.3% จากปีนี้ ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลง ขณะที่การปล่อยสินเชื่อของบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทหันไปให้สินเชื่อประเภทอื่นเพื่อชดเชยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ คือ การเน้นปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองที่เริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น ซึ่งอาจจะช่วยให้สินเชื่อของบริษัทในปีนี้หดตัวลงเพียงเล็กน้อย
          นางสาวสุนันทา วสะภิญโญกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มกำไรของ TCAP ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกราว 8-10% จากการตั้งสำรองค่าเผื้อหนี้สงสัยจะสูญที่จะลดลงและกลับสู่ระดับปกติที่ 0.65-0.7% ของสินเชื่อรวม ซึ่งการที่ตั้งสำรองฯลดลงนั้นเป็นผลมาจากการที่ Coverage ratio ของบริษัทสามาถทำได้ตามเป้าหมายแล้วที่ 125% พร้อมทั้งคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/59 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เติบโต 2.3% จากไตรมาส 2/59 และเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
          อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ลดลง 7.6% มาอยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท แต่ยังเติบโต 7.9% จากปีก่อน เพราะค่าใช้จ่ายจากการลงทุนระบบเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ส่งผลให้บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมจะทำได้แค่ทรงตัวจากปีก่อน จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 5% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อของบริษัทที่จะติดลบ 3% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าขยายตัวได้ 1% เนื่องจากยังไม่เห็นการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ใหม่
          นักวิเคราะห์บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้ปรับประมาณการกำไรของ TCAP ในปี 59-60 เพิ่มขึ้นจากเดิม 7% และ 9% มาที่ระดับ 6.14 พันล้านบาท และ 6.59 พันล้านบาทตามลำดับ จากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองในปีนี้จะลดลงเหลือ 6 พันล้านบาท จากเดิมที่ 6.5 พันล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะลดลงเหลือ 4.5 พันล้านบาท จากเดิมที่ 5.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก Coverage ratio ที่อยู่ในระดับเป้าหมาย 125% จากการตั้งสำรองพิเศษในช่วงครึ่งปีแรก และแนวโน้ม NPL ที่ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องถึง 8 ไตรมาสติดต่อกัน
          สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อของบริษัทนั้นยังคงมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง และยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้คาดการณ์การว่าสินเชื่อในปี 59 จะทรงตัว และในปี 60 คาดว่าจะเห็นการขยายตัวของสินเชื่อเพียง 1%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ