TSE บวกสวนตลาด 2.94% อยู่ที่ 5.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท เมื่อเวลา 10.20 น.โดยเปิดตลาดที่ 5.15 บาท สูงสุด 5.25 บาท ต่ำสุด 5.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 102.58
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) และปรับราคาเหมาะสมขึ้น 7% เป็น 7.55 บาท/หุ้น ภายหลังบริษัทได้ตัดสินใจเข้าลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลรวม 22.2MW ซึ่งแม้ TSE จะต้องลงทุนจ่าย Premium ที่สูงในการเข้าไปร่วมถือ PPA ในครั้งนี้ แต่ทว่าระดับ IRR ที่ประเมินว่ายังคงน่าพอใจ 11% เนื่องจากโรงไฟฟ้าชุดนี้เป็นสัญญาขายไฟฟ้าแบบ FiT ที่ถูกแปลงสภาพมาจากระบบ Adder ทำให้ผลตอบแทนยังคงสูงอยู่
ทั้งนี้ TSE จะเข้าซื้อหุ้น 70% ในบริษัท Oscar save the world (OSCAR) เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่งที่ จ.นครศรีธรรมราช กำลังการผลิตรวม 17.6MW กำหนด COD ก.พ. 61 และ 1Q62 โดย TSE จะจ่ายค่าหุ้น 220 ล้านบาท ขณะที่ค่าก่อสร้างรวมคิดเป็น 1.7 พันล้านบาท ผู้ถือหุ้นอีกฝั่ง 30% คือ บจก.ไทยนครพาราวู้ด
และ จะร่วมจัดตั้งบริษัท บางสวรรค์ กรีน (BSW) เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 4.6MW แห่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี กำหนด COD 3Q60 โดย TSE จะร่วมลงทุนถือหุ้นเริ่มแรก 49% ส่วนอีก 51% จะถือหุ้นโดย บจก.จิรัสย์ปาล์ม และหากเมื่อจ่ายไฟฟ้าได้ครบ 3 ปี TSE ก็จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 100% อีกด้วย โดยโครงการนี้มีงบลงทุนรวมทั้งสิ้น 550 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองว่า แม้ต้นทุนลงทุนเฉลี่ยจะค่อนข้างสูง 111-120 ล้านบาท/ MW (เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 75-80 ลบ./ MW) เนื่องจาก TSE ไม่ได้เป็นผู้ถือ PPA ตั้งแต่ตั้งต้น แต่เนื่องด้วยโครงสร้างสัญญารับซื้อใหม่แบบ FiT ระยะเวลา 20 ปี เราประเมินว่าก็เพียงพอในการผลิต IRR ได้ในระดับ 11.5% และ 10.9% สำหรับ OSCAR และ BSW ตามลำดับ
ขณะที่บนสมมติฐาน Project D/E 3 : 1 เท่า เราพบว่าในปี 61 เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ระดับ D/E ก็ยังคงต่ำที่เพียง 0.8 เท่า เนื่องจากผลกำไรจากโครงการทั้ง 2 เริ่มส่งเข้ามาตั้งแต่ปี 61 โดยเราคาดว่า OSCAR ส่งกำไรเข้ามาราว 124 ล้านบาทในปี 63 เมื่อรับรู้เต็มปี ส่วน BSW จะส่งกำไรเข้ามา 18 ล้านบาท อิงสัดส่วนเริ่มต้น 49% ในปี 61 เมื่อรับรู้เต็มปีเช่นกัน ส่งผลให้ในภาพรวม เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 61-62 ขึ้น 6%-15%