ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม LALIN ที่ “BBB+/Negative"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 7, 2016 10:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุน ตลอดจนการบริหารการเงินที่รอบคอบ และประสบการณ์ที่ยาวนานในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงต่ำของบริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ที่อ่อนแอลงซึ่งสะท้อนจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลงในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นทั่วประเทศ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

แม้ว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 แต่ทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" ให้แก่บริษัท โดยแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่อ่อนแอลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งนี้ หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และ/หรืออัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงเพิ่มขึ้นอีกก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางตรงข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมาเป็น “Stable" หรือ “คงที่" ได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่เพิ่มสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 นายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์และนายไชยยันต์ ชาครกุลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน 54% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 บริษัทเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยราคาสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-5 ล้านบาทต่อยูนิต โครงการบ้านจัดสรรยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80%-95% ของรายได้รวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมน้อยมาก ในปลายปี 2555 บริษัทเริ่มขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างจังหวัด โดยโครงการในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก

ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 44 โครงการ โดย 80% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และที่เหลืออยู่ในต่างจังหวัด โครงการทั้งหมดของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 18,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังไม่ได้ก่อสร้าง) ประมาณ 65% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมดอยู่ในโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และที่เหลืออยู่ในต่างจังหวัด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบให้ลูกค้าได้ในช่วงที่เหลือของปี 2559

รายได้ของบริษัทในปี 2558 ลดลง 12% จากปีก่อนเป็น 2,084 ล้านบาท โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรเติบโต 5% จากปีก่อน ในขณะที่รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมลดลงอย่างมาก ทั้งนี้ รายได้จากโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลลดลง 17% จากปีก่อน รายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เติบโตถึง 63% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 1,303 ล้านบาท โดยรายได้จากทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์จากทั้งโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลและโครงการในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้ที่เติบโตดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนซึ่งสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2559 ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาทต่อปี

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทอยู่ที่ 24%-25% ในช่วงปี 2556 ถึงครึ่งแรกของปี 2559 โดยอัตราส่วนดังกล่าวในช่วง 3 ปีข้างหน้าอาจลดลงแต่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 20% เมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจ

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น โดยอยู่ที่ 37% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นตามระดับสินค้าคงเหลือ บริษัทเปิดโครงการใหม่จำนวนมากเพื่อกระตุ้นยอดขายเนื่องจากยอดขายในโครงการเดิมเติบโตค่อนข้างช้า อย่างไรก็ตาม ยอดขายในโครงการใหม่ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวเพราะบริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลางถึงต่ำ จากแผนการขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทเท่ากับ 21%-24% ในช่วงปี 2557 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ทั้งนี้ ในช่วงการขยายธุรกิจคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ในระดับสูงกว่า 20% อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายดีขึ้นเป็น 15 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 จาก 11 เท่าในปี 2558 และ 8 เท่าในปี 2557 อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังคงพอเพียง โดยบริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1,018 ล้านบาท ในขณะที่ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีเงินสดในมือรวมกับวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวนประมาณ 2,000 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ