(เพิ่มเติม) TICON เชื่อ"เฟรเซอร์สฯ"หนุนขยายสู่ระดับอาเซียน วางแผนปี 60 รุกเวียดนาม-เขมร-เมียนมา

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 11, 2016 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) กล่าวว่า ความร่วมมือกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (FPHT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Frasers Centrepoint Limited (FCL) ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัท 40% นั้นจะช่วยเอื้อประโยชน์และสนับสนุนการเติบโตของบริษัททั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายลงทุนในประเทศแถบอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเตรียมแผนการลงทุนไปยังเวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาในปีนี้ด้วย

"การมี FPHT มาเป็นพันธมิตรครั้งนี้ จะทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศ ของ FCL และส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย สามารถยกระดับความสามารถขึ้นสู่การเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าในนระดับอาเซียนได้อย่างแน่นอน"นายวีรพันธ์ กล่าว

อนึ่ง ที่ประชุมผู้ถือหุ้น TICON ในวันที่ 18 ธ.ค.จะพิจารณาวาระอนุมัติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ให้แก่ FPHT จำนวน 735 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 18 บาท มูลค่ารวม 13,230 ล้านบาท

นายวีรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินเพิ่มทุนจากกลุ่ม FPHT มูลค่ารวม 13,230 ล้านบาทในเดือน ม.ค.60 หลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น TICON โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้และไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ทยอยครบกำหนดในปี 60 รวม 8,800 ล้านบาท รวมทั้งใช้เป็นเงินลงทุนในประเทศ 2,500 ล้านบาท และต่างประเทศ 500 ล้านบาท อีกส่วนราว 1,000 ล้านบาทใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ หลังจากการชำระหนี้แล้วจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงทันทีเหลือ 0.4 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 2.1 เท่า ซึ่งก็จะทำให้บริษัทมีภาระทางการเงินลดลงและสามารถขยายกิจการได้สะดวกรวดเร็วขึ้น

สำหรับแผนงานปี 60 คงต้องรอให้กรรมการจาก FPHT จำนวน 3 ท่านเข้ามาร่วมงานและหารือกันก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนม.ค.60 แต่เบื้องต้นหลังจากกลุ่ม FPHT เข้าถือหุ้น ธุรกิจหลักของบริษัทก็ยังเป็นพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า แต่คงเน้นการขยายไปต่างประเทศมากขึ้น อย่างในอินโดนีเซียจากที่มี 1 แห่ง ก็จะเพิ่มเป็น 3 แห่ง โดยจะเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าและหาลูกค้าที่ใกล้กับเมืองใหญ่อย่างจากาต้าร์ ซึ่งในสัปดาห์หน้าผู้บริหาร TICON จะนำตัวแทนกลุ่ม FPHT ไปดูทำเล

ส่วนในเวียดนามคงเริ่มได้ในปี 60 เป็นธุรกิจโลจิสติกส์ ขณะที่เมียนมาน่าจะต้องรอไปอีก 1-2 ปี เพราะค่าที่ดินยังแพง และค่าเงินจ๊าดตกไปถึง 50% จากปีก่อน ทำให้การบริหารค่าเงินทำได้ยาก หากลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้ หลังการเพิ่มทุนจะทำให้กลุ่ม FPHT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% อันดับ 2. บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) เหลือถือ 26% จากก่อนเพิ่มทุน 44% อันดับ 3.บริษัท ซิตี้ วิลล่า จำกัด ถือ 4% จากเดิม 7% ซึ่งเมื่อรวมกลุ่ม FPHT แล้วจะทำให้ TICON มีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติเพิ่มเป็น 47% จากเดิม 12% เกณฑ์ต้องไม่เกิน 49%

นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ยอมรับว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อน เพราะปีนี้ไม่มีการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเหมือนปีก่อนๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้รายได้รวมจะต่ำลง แต่รายได้จากค่าเช่าทั้งปีก็ถือว่าเติบโตเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,050 ล้านบาท

"ปีนี้งดขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT แต่จะเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ได้ค่าเช่ามีรายได้ประจำ (Recurring Income) ดีกว่า ก็จะทำให้ในอนาคตรายได้จากค่าเช่าสูงขึ้นเพราะเก็บสินทรัพย์ไว้ กำไรปีนี้ลดลง เพราะไม่มีขายสินทรัพย์เข้ากอง แต่มูลค่า Asset อยู่กับเรา มีค่าเช่าเพิ่ม ซึ่งปกติในแต่ละปีบริษัทจะมีรายได้จากค่าเช่าปีละ 1,100 ล้านบาท จากการบริหารกองทุน 200 ล้านบาท และเงินปันผลจากกองทุนที่ถือราว 200 ล้านบาท ปีนี้แม้รายได้รวมไม่โตแต่รายได้ค่าเช่าโต"นายวีรพันธ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ