โบรกฯเชียร์"ซื้อ"VNG เล็งกำไรปีนี้ทำนิวไฮ หลังปรับกลยุทธ์สร้างการเติบโต พร้อมต่อยอดทำโรงไฟฟ้าชีวมวล

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 17, 2016 14:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.วนชัย กรุ๊ป (VNG) มองแนวโน้มธุรกิจไปได้ดี และยังมีกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยในปี 59 ได้มีการปรับสินค้าพรีเมียมอยู่หลายชนิด ทั้งพื้นไม้ลามิเนต, แผ่นไม้ปิดผิว เป็นต้น และยังมีการปรับสายการผลิตด้วย และปรับประสิทธิภาพการผลิตทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้ผลดีจากต้นทุนเศษไม้ที่ยังราคาต่ำ ซึ่งทำให้กำไรสุทธิในปี 59 เติบโตและมีลุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่

โดยผลประกอบการไตรมาส 4/59 ของ VNG น่าจะทำกำไรได้ดีกว่างวดปีก่อน หลังในปีนี้ได้ทยอยบันทึกค่าใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 1-3 ไปแล้ว จากปกติจะบันทึกค่าใช้จ่ายในงวดไตรมาสสุดท้ายของปี นอกจากนี้การเลื่อนส่งออกแผ่น MDF จำนวน 1 ลำเรือไปที่ตะวันออกกลางจากในช่วงไตรมาส 3/59 มาเป็นไตรมาส 4/59 ซึ่งก็จะทำให้ปริมาณขายในไตรมาส 4/59 สูงขึ้นด้วย รวมถึงจะเริ่มเห็นการกลับมาผลิต Particle Board ในไตรมาส 4/59 หลังจากที่หยุดผลิตเพื่อปรับปรุงไปก่อนหน้านี้

ส่วนในปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตจากปีนี้ ตามยอดขายที่เติบโต จากการเพิ่มกำลังการผลิตจากหลายโรงงาน ทำให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ ขณะที่ VNG ยังมีแนวคิดในการต่อยอดทำโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยใช้เศษไม้เป็นวัตถุดิบ โดยคาดว่าปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า กกพ.จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังผลิตรวม 400 เมกะวัตต์ ซึ่ง VNG ก็เตรียมที่จะเข้าร่วมประมูลเสนอขายไฟฟ้าในโครงการดังกล่าวด้วย โดยประเมินความพร้อมของ VNG น่าจะทำได้ประมาณ 20-25 เมกะวัตต์ จะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ราว 2.0-3.1 บาท/หุ้น

ราคาหุ้น VNG ล่าสุดอยู่ที่ 14.10 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.70%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.29%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ              ซื้อเก็งกำไร                 17.00
          ไอร่า                        ซื้อ                        18.00
          ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ              ซื้อ                        16.70
          เอเชีย พลัส                   ซื้อ                        16.25
          ทิสโก้                        ซื้อ                        15.90
          นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น VNG เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจไปได้ดี และยังมีกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยในปี 59 ได้มีการปรับสินค้าพรีเมียมอยู่หลายชนิด ทั้งพื้นไม้ลามิเนต, แผ่นไม้ปิดผิว เป็นต้น และยังมีการปรับสายการผลิต และปรับประสิทธิภาพการผลิต ทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้ผลดีจากต้นทุนเศษไม้ที่ยังราคาต่ำ ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 59 จะอยู่ที่ราว 1,567 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากระดับ 1,426 ล้านบาทในปี 58 แม้ว่ายอดขายน่าจะทรงตัวที่ 11,000 ล้านบาทก็ตาม
          สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 4/59 ของ VNG น่าจะทำกำไรราว 350 ล้านบาท ดีกว่างวดปีก่อน เนื่องจากปกติ VNG มักจะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายมาลงที่ไตรมาส 4/59 แต่ปีนี้ทาง VNG ได้ทยอยบันทึกไปแล้วในช่วงไตรมาส 1-3 ทำให้ค่าใช้จ่ายในไตรมาส 4/59 ไม่สูงเหมือนงวดปีก่อน นอกจากนี้ การส่งออก MDF ไปที่ตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดหลักของ VNG ในช่วงไตรมาส 3/59 ได้มีการเลื่อนการส่งสินค้า 1 ลำเรือโดยจะมาส่งในไตรมาส 4/59 ก็จะทำให้ปริมาณขายในไตรมาส 4/59 สูงขึ้นด้วย รวมถึงจะเริ่มเห็นการกลับมาผลิตของ Particle Board ในไตรมาส 4/59 หลังหยุดผลิตเพื่อปรับปรุงไปในช่วงก่อนหน้านี้
          ส่วนในปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,698 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น จากการเพิ่มกำลังการผลิตในหลายโรงงาน ทำให้ปริมาณการผลิตน่าจะเพิ่มขึ้น 15%  อีกทั้งในปีนี้ได้หยุดปรับปรุงเครื่องจักรด้วย นอกจากนี้ VNG ยังมีแนวคิดในการต่อยอดทำโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยใช้เศษไม้เป็นวัตถุดิบ  โดยเตรียมที่จะยื่นเสนอขายไฟฟ้าหากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวล จำนวนประมาณ 400 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า
          ทั้งนี้ ประเมินความพร้อมของ VNG น่าจะทำโครงการได้ประมาณ 20 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำไร 10-12 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ทำให้มีกำไร 200-240 ล้านบาท/ปีหากทำได้ทั้งหมด 20 เมกะวัตต์ โดยเรื่องนี้ยังไม่ได้รวมในประมาณการ หากรวมก็น่าจะทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้อีก
          ด้านนายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น VNG เหมาะที่จะลงทุนได้ โดยกำไรสุทธิปี 59 ถือได้ว่าทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1,637 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 58  หลังได้ประโยชน์จากต้นทุนเศษไม้ที่ยังมีราคาต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว และมีประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ทำให้ช่วยประหยัดต้นทุนให้ลดลง อีกทั้งยังมีสินค้าพรีเมียม ซึ่งเป็นการทำแผ่นพื้นสำเร็จรูป
          นอกจากนี้ในปี 60 กำไรสุทธิก็จะยังเติบโตต่อเนื่องอีก 8% มาอยู่ที่ 1,766 ล้านบาท โดยรับผลมาจากการปรับเปลี่ยนสายการผลิต แผ่น Particle เป็น แผ่น MDF และการขยายกำลังการผลิตแต่ละโรงงาน จะทำให้กำลังการผลิตในปี 60 เพิ่มขึ้น
          ส่วนบล.ไอร่า แนะ"ซื้อ"หุ้น VNG แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 60 ของ VNG มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปี 59 และคาดกำไรสุทธิ ทำนิวไฮจากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มปี ทั้ง MDF และ Finished Product รวมถึงการปรับปรุงสายการผลิตต่อเนื่องที่คาดช่วยลดต้นทุนการผลิต
          ขณะที่ VNG มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวล และไบโอก๊าซ ขนาดกำลังผลิตรวม 400 เมกะวัตต์ ที่คาดกกพ. จะประกาศรับซื้อในช่วงไตรมาส 1/60 เบื้องต้นคาดกำลังการผลิต อยู่ที่ 9.9 เมกะวัตต์ ที่โรงงาน จ.สุราษฏร์ธานี คาดใช้เงินลงทุน ประมาณ 70-80 ล้านบาท
          พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ไว้ที่ 1,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 58 ในปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีนี้
          สำหรับบล.ทิสโก้ ระบุว่า VNG มีปัจจัยที่ต้องติดตามต่อจากนี้เป็น Upside เพิ่มเติมคือการประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวลของภาครัฐของบริษัทขนาด 20-25 เมกะวัตต์ ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ราว 2.5-3.1 บาท/หุ้น
          พร้อมคาดกำไรปกติในไตรมาส 4/59 ที่ 393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากงวดปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากฐานต่ำในปีที่แล้ว เนื่องจากบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานในไตรมาสเดียว ขณะที่ปีนี้ได้แบ่งบันทึกในทุกไตรมาส แนวโน้มราคาไม้ยางปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 4/59 เพราะฝนที่ตกยาวนานกว่าปกติทำให้ต้นทุนการขนไม้ยางเพิ่มขึ้น โดยปรับประมาณการปี 59-61 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปีเพื่อสะท้อนภาวะตลาด Particle Board ทีมีทิศทางฟื้นตัวดีกว่าคาด
          นอกจากนี้มีแผนการขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (Debottleneck) โรงงานที่สระบุรีและบ้านบึง ซึ่งจะทำให้ได้กำลังการผลิต Particle Board 3 แสนลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/ปี เพิ่มขึ้น 35% กลับมาในไตรมาส 3/59 และแผนการเพิ่มกำลังการผลิตแผ่น MDF อีก 2.1 แสนลบ.ม./ปี เพิ่มขึ้น 21% ที่จะเสร็จกลางปี 61 โดยคาดจะใช้งบลงทุนปีละ 1,000-1,200 ล้านบาทในช่วงปี 59-61 โดยจะใช้การกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นหลักทำให้ไม่กระทบต่อความสามารถในการจ่ายเงินปันผล

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ