PF ตั้งเป้ารายได้ปี 60 ที่ 2.3 หมื่นลบ.-ยอดขาย 2 หมื่นลบ. หลังปรับลดเป้าปีนี้จากเลื่อนเปิด 8 โครงการใหม่เป็นปีหน้าแทน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 17, 2016 17:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน สายงานลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) กล่าวว่า บริษัทฯปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาด 1.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปรับลดเป้ายอดขายลงเหลือ 1.3 หมื่นล้านบาทด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริษัทฯได้เลื่อนเปิดโครงการไปเป็นปีหน้าราว 8 โครงการ มูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท

โดยในปีนี้บริษัทฯ เปิดโครงการเพียง 8 โครงการ มูลค่า 7.98 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และโครงการคอนโดมีเนียม 1 โครงการ

ทั้งนี้บริษัทฯมียอดขายรอโอนอยู่ 6.5 พันล้านบาท โดยจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในช่วงไตรมาส 4/59 มูลค่า 2.4 พันล้านบาท

"ในปีนี้เราได้เลื่อนโครงการไปค่อนข้างมาก เพราะด้วยสถานการณ์ที่เงียบๆแบบนี้ และไม่สามารถโฆษณาหรือทำการตลาดได้ เราจึงตัดสินใจเลื่อนไปเป็นปีหน้า แต่อย่างไรก็ตามเรามองว่าเป็นผลดีเพราะจะช่วยให้สมดุลของอสังหาริมทรัพย์ในตลาดมีมากขึ้น เนื่องจากหลายๆรายก็เลื่อนเปิดโครงการเหมือนกับเรา"นายธีรธัชช์ กล่าว

สำหรับปี 60 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 60 ไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท และยอดขายที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทฯเตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวมราว 3.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 14 โครงการมูลค่า 2.48 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 6.95 พันล้านบาท โดยบริษัทฯมองว่าแนวโน้มในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับดอกเบี้ยนโยบายที่คงยังเชื่อว่าจะไม่ไปไหนไกล และประชาชนยังคงรับได้

นอกจากนี้บริษัทฯได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 3-4 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินรองรับการเปิดโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ราคาที่ดินก็ยังมีการปรับขึ้นอย่างต่เนื่อง จึงต้องมีการซื้อที่ดินเตรียมไว้พัฒนาล่วงหน้า

"ปีหน้ายังคงคาดเดายากว่าจะเป็นยังไงบ้าง แต่เบื้องต้นเราก็เชื่อยังไงเศรษฐกิจก็ต้องขยายตัว เพราะด้วยการผลักดันรัฐบาล และความชัดเจนต่างๆที่มากขึ้นเรื่อง เช่นการเลือกตั้งในประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นไม่ช่วงปลายปี 60 ก็คงเป็นช่วงต้นปี 61 ก็คงทำให้บรรยากาศต่างๆดีขึ้น ขณะที่ช่วงเวลาแบบนี้เองบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆก็ได้ชะลอการเปิดโครงการออกไปก็ทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น ระหว่างดีมานด์ ซัพพลาย ซึ่งจะส่งผลดีให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้เราก็ได้ไปเน้นการพัฒนาโครงการที่เป็นระดับ hi-end มากขึ้นเพราะกำลังซื้อยังมีอยู่"นายธีรธัชช์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ